เอสแอนด์พีชิมลางเปิดร้านอาหารประเภททงคัตสึ “ไมเซน” ก่อนสบโอกาสขยายเพิ่ม 4 สาขาในปี 56 พร้อมทำยอดขาย 50 ล้านบาท ก่อนเพิ่มเป็น 10 สาขา และยอดขาย 300 ล้านบาทในปี 57 พร้อมขึ้นแท่นเป็นผู้นำตลาด เผยแผนระยะยาว 10 ปีสร้างรายได้ขั้นต่ำ 10% ของรายได้รวม 13,440 ล้านบาท
นายธีรกรณ์ ไรวา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส แอนด์ พี อินเตอร์เนชั่นแนล ฟู้ดส์ จำกัด ผู้บริหารร้านอาหารญี่ปุ่น “ไมเซน” เปิดเผยว่า ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยแม้จะมีการแข่งขันสูงอย่างต่อเนื่องแต่ยังไม่ถือว่าอิ่มตัว เนื่องจากยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีก
ขณะเดียวกันยังมีช่องว่างอีกมากสำหรับร้านอาหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีสูตรอาหารต้นตำรับ ดังเช่นร้านไมเซน ซึ่งเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นประเภททงคัตสึ หรือหมูทอดที่ตรงกับความชื่นชอบของคนไทย คือ กรอบนอก นุ่มใน
ไมเซน ถือเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่นที่เปิดดำเนินการมาแล้วถึง 48 ปี และได้ขยายแฟรนไชส์มายังประเทศไทยเป็นอันดับแรก โดยเปิดให้บริการที่สีลม คอมเพล็กซ์เมื่อประมาณเดือน พ.ย. 55 โดยล่าสุดบริษัทได้เปิดให้บริการสาขา 2 ที่ เจ อเวนิว ทองหล่อ เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยภายในปี 2556 มีแผนจะเปิดให้บริการเพิ่มอีก 2 สาขาที่สยามพารากอน และสนามบินสุวรรณภูมิ
ก่อนที่จะขยายเป็น 10 สาขาทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ เช่น พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต และอื่นๆ ภายในปี 2557 โดยใช้งบลงทุนสาขาละประมาณ 10 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังคาดการณ์ว่าจะสามารถทำยอดขายในปี 2556 ได้สูงกว่าที่คาดการณ์ในเบื้องต้นถึง 2 เท่า คือประมาณ 50 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 300 ล้านบาทในปี 2557
“สาเหตุที่เรามั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากจุดเด่นด้านรสชาติความอร่อยของอาหาร และวัตถุดิบจนได้รับการตอบรับอย่างดีเกินความคาดหมายจากกลุ่มลูกค้า ซึ่งเราเน้นนักศึกษา และวัยทำงานทั้งชาย และหญิง ประกอบกับการเปิดสาขาเพิ่มที่สยามพารากอน และสนามบินสุวรรณภูมิถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงได้ ดังเช่นกรณีการเปิดสาขาเจ อเวนิว ทองหล่อ ปรากฏว่ามีกลุ่ทลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่นเข้ามาใช้บริการมากถึง 50% ทั้งๆ ที่เราเน้นกลุ่มเป้าหมายคนไทยเป็นหลัก”
วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งบริษัท เอส แอนด์ พี อินเตอร์เนชั่นแนล ฟู้ดส์ จำกัด คือ บริหารงานแบรนด์ข้ามชาติซึ่งปัจจุบันยังคงมีไมเซนเพียงรายเดียว โดยมีเป้าหมายระยะยาวในเวลา 10 ปีว่าจะสามารถผลักดันยอดขายให้มีสัดส่วนอย่างน้อย 10% ของรายได้รวมของบริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ซึ่งตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถทำได้ถึง 13,440 ล้านบาท จากปี 2555 ซึ่งสามารถทำได้ 6.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ประมาณ 10%
“ในปี 2557 บริษัทเตรียมงบประมาณอย่างน้อย 100 ล้านบาท ในการขยายสาขาเป็นจำนวน 60 ล้านบาท และดำเนินกิจกรรมการตลาด 40 ล้านบาท โดยจะเน้นการใช้เครื่องมือการตลาดที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะช่องทางโซเชียลมีเดีย ทั้งทางอินสตาแกรม เฟซบุ๊ก และแฟนเพจ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ติดตามประมาณ 3 หมื่นคน
นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นเรื่องการให้บริการเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ โดยทีมงานทั้งหมดจะยึดมั่นในมาตรฐานการผลิต เมนูอาหาร และบริการ ตามมาตรฐานเดียวกันกับร้านอาหารเอสแอนด์พี”
นายธีรกรณ์กล่าวด้วยว่า การดำเนินงานของร้านไมเซนในประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบันมีร้านอาหาร 7 สาขา และดำเนินงานในลักษณะคีออสก์ 46 สาขา ด้วยเหตุนี้บริษัทจึงมีแผนจะเปิดให้บริการในลักษณะคีออสก์อย่างน้อย 20 สาขา ภายในเวลา 3 ปี โดยจะเริ่มเปิดให้บริการในปี 2556 จำนวน 1 สาขา และเพิ่มเป็น 3-4 สาขาในปี 2557 โดยใช้งบลงทุนสาขาละประมาณ 1 ล้านบาท
“ปัจจุบันในประเทศไทยมีผู้ประกอบการร้านอาหารประเภททงคัตสึเพียง 1 ราย คือ ร้านชาโบเต็น ซึ่งมีอยู่ 7 สาขา นอกจากนี้ยังมีชาวญี่ปุ่นเข้ามาเปิดบริการในรูปแบบร้านอาหารขนาดเล็กอีกประมาณ 6-7 ราย แต่จากแผนงานของบริษัทจึงทำให้มั่นใจว่าจะสามารถขึ้นเป็นผู้นำตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นประเภททงคัตสึได้ภายในปี 2557”