Market View : แนวต้าน 1,400
Technical : แนวรับ 1,384/1,370 แนวต้าน 1,400 /1,410
หุ้นแนะนำพิเศษ : HMPRO แนวรับ 11.70-12.00 แนวต้าน 12.40/13.50
หุ้นเด่นรายวัน : MFEC CK STEC BEAUTY
วันพฤหัสบดีตลาดหุ้นไทยปิดลบจากแรงขายทำกำไร ดัชนี SET ปิดที่ 1,397.90 จุด ลดลง 13.28 จุด(-0.94%) มูลค่าการซื้อขาย 42,874.58 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิอีก 74 ล้านบาท
แนวโน้มตลาดหุ้นไทย ทางฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็กฯ คาดมีแนวโน้มผันผวนในกรอบ 1,384-1,422 ระดับดัชนีสร้างจุดสูงใหม่แต่เป็นการทดสอบเส้นค่าเฉลี่ยทางเทคนิคไม่ผ่านยืน มีโอกาสทดสอบแนวรับ 1,384 ในขณะที่ S50U13 ไม่สามารถยืน 961 (แนวต้านสำคัญ 971 แท่งเทียนคู่) การปรับตัวระหว่างวันไม่ควรหลุด 950 แนวรับต่อไป 931 SET50 ปิดตัวด้วยแท่งเทียนเชิงลบ ระหว่างวันสร้างจุดต่ำกว่า 955 หรือไม่สามารถยืน 950 มีความเสี่ยงของขาลง GFV13 เก็งกำไรในกรอบ 19,770-20,220 GFZ13 เก็งกำไรในกรอบ 19,970-20,270
กลยุทธ์ การกลับตัวขึ้นที่ผ่านมาได้ตอบรับปัจจัยภายนอกไว้มากแล้ว ทั้งนี้ปริมาณการซื้อขายที่ลดน้อยลงเป็นสัญญาณชี้นำทิศทางของการพักตัวลง การปิดตัวที่ต่ำกว่า 1,400 ส่งผลให้ตลาดขาดความมั่นใจการถือครองระยะสั้น หุ้นขนาดใหญ่มีแนวโน้มปรับตัวลงรอบใหม่ ซึ่งเป็นจังหวะในการรอซื้อเล่นรอบ เน้นหุ้นที่มีสภาพคล่องเป็นหลัก กลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงาน กลุ่มก่อสร้าง CK NWR STEC PREB กลุ่มอาหาร TIPCO MALEE หุ้นรายหลักทรัพย์ DEMCO SF GUNKUL ระยะกลาง ถือ / ปรับตัวลงแรง ซื้อเข้าเล็กน้อย
หุ้นแนะนำพิเศษ
HMPRO (ราคาปิด 12.30 ซื้อ เป้าหมาย 18) ผลประกอบการมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่องจาก 1) การเปิดสาขาใหม่ทุกปี ปีนี้มีแผนเปิดสาขาใหม่ 10 สาขารวมเป็น 63 สาขา 2) การเพิ่มสัดส่วนสินค้าแบรนด์ของบริษัทเองซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า และไลฟสไตส์ในการตกแต่งบ้านเอง (DIY -Do It Yourself) ของผู้บริโภค ฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิปี 56 ราว 3.3 พันล้านบาทเติบโต 24%YoY ครึ่งแรกของปี 56 มีกำไร 1,422 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 18% คิดเป็น 43% ของประมาณการทั้งปี ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการตามเดิมเนื่องจากเชื่อว่าผลประกอบการครึ่งหลังของปีจะดีกว่าครึ่งแรกจากแผนเปิดสาขาใหม่อีก 7 แห่งและมีงานโฮมโปรเอ็กซ์โปในช่วงปลายปี ล่าสุดมีข่าวจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับ LH ในการขายพื้นที่เช่าโฮมโปรสาขาหัวหินซึ่งคาดจะสำเร็จในช่วงไตรมาสสุดท้าย
หุ้นเด่นรายวัน
MFEC (ราคาปิด 7.50 ซื้อเก็งกำไร) บริษัทคาดกำไรสุทธิปี 56 เติบโต 25%YoY จากการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนในด้าน ICTที่เพิ่มสูงขึ้นเพื่อรองรับเทคโนโลยี 3G , 4G และการเปิด AEC ประกอบกับบริษัทเพิ่งได้รับงานใหม่มูลค่าราว 5 พันล้านบาท ส่งผลให้ Backlog เพิ่มขึ้นสู่รัดับ 6-6.5 พันล้านบาท (ที่มา : ทันหุ้น)
CK(ปิด 21.30 ซื้อเป้าปี 56: 28.40), STEC (ปิด 21.80 ซื้อเป้าปี 56: 29.60) เก็งกำไรกลุ่มรับเหมาก่อสร้างก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทในช่วงวันที่ 19-20 ก.ย.นี้ แนะนำ CK และ STEC เด่นสุดของกลุ่มรับเหมาโดย CK จะมีกำไรสุทธิมากที่สุดของกลุ่มในปีนี้ขณะที่วันนี้แจ้งข่าวดีได้งาน จัดหา-ติดตั้งระบบรถไฟฟ้าสายสีม่วงของ BMCL มูลค่า 2 หมื่นลบ.ส่วน STEC คาดกำไรสุทธิในปีนี้จะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
BEAUTY (ราคาปิด 19.40 ซื้อเก็งกำไร เป้า consensus 28.32) ผู้บริหารเปิดเผยว่าบริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตรายได้ที่ 20 % และการเติบโตของกำไรสุทธิที่ 30 % แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยชะลอตัว แต่เชื่อว่าไม่กระทบกับผลการดำเนินงานของบริษัทจาก โดยคาดกำลังซื้อจะกลับมาช่วงไตรมาสสุดท้ายที่เป็นช่วงไฮซีซั่น ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งมีสัดส่วน 30% ที่มีอัตราการเติบโตก้าวกระโดดมีความสนใจผลิตภัณฑ์ของบริษัทมากขึ้น
Technical : แนวรับ 1,384/1,370 แนวต้าน 1,400 /1,410
หุ้นแนะนำพิเศษ : HMPRO แนวรับ 11.70-12.00 แนวต้าน 12.40/13.50
หุ้นเด่นรายวัน : MFEC CK STEC BEAUTY
วันพฤหัสบดีตลาดหุ้นไทยปิดลบจากแรงขายทำกำไร ดัชนี SET ปิดที่ 1,397.90 จุด ลดลง 13.28 จุด(-0.94%) มูลค่าการซื้อขาย 42,874.58 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิอีก 74 ล้านบาท
แนวโน้มตลาดหุ้นไทย ทางฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็กฯ คาดมีแนวโน้มผันผวนในกรอบ 1,384-1,422 ระดับดัชนีสร้างจุดสูงใหม่แต่เป็นการทดสอบเส้นค่าเฉลี่ยทางเทคนิคไม่ผ่านยืน มีโอกาสทดสอบแนวรับ 1,384 ในขณะที่ S50U13 ไม่สามารถยืน 961 (แนวต้านสำคัญ 971 แท่งเทียนคู่) การปรับตัวระหว่างวันไม่ควรหลุด 950 แนวรับต่อไป 931 SET50 ปิดตัวด้วยแท่งเทียนเชิงลบ ระหว่างวันสร้างจุดต่ำกว่า 955 หรือไม่สามารถยืน 950 มีความเสี่ยงของขาลง GFV13 เก็งกำไรในกรอบ 19,770-20,220 GFZ13 เก็งกำไรในกรอบ 19,970-20,270
กลยุทธ์ การกลับตัวขึ้นที่ผ่านมาได้ตอบรับปัจจัยภายนอกไว้มากแล้ว ทั้งนี้ปริมาณการซื้อขายที่ลดน้อยลงเป็นสัญญาณชี้นำทิศทางของการพักตัวลง การปิดตัวที่ต่ำกว่า 1,400 ส่งผลให้ตลาดขาดความมั่นใจการถือครองระยะสั้น หุ้นขนาดใหญ่มีแนวโน้มปรับตัวลงรอบใหม่ ซึ่งเป็นจังหวะในการรอซื้อเล่นรอบ เน้นหุ้นที่มีสภาพคล่องเป็นหลัก กลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงาน กลุ่มก่อสร้าง CK NWR STEC PREB กลุ่มอาหาร TIPCO MALEE หุ้นรายหลักทรัพย์ DEMCO SF GUNKUL ระยะกลาง ถือ / ปรับตัวลงแรง ซื้อเข้าเล็กน้อย
หุ้นแนะนำพิเศษ
HMPRO (ราคาปิด 12.30 ซื้อ เป้าหมาย 18) ผลประกอบการมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่องจาก 1) การเปิดสาขาใหม่ทุกปี ปีนี้มีแผนเปิดสาขาใหม่ 10 สาขารวมเป็น 63 สาขา 2) การเพิ่มสัดส่วนสินค้าแบรนด์ของบริษัทเองซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า และไลฟสไตส์ในการตกแต่งบ้านเอง (DIY -Do It Yourself) ของผู้บริโภค ฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิปี 56 ราว 3.3 พันล้านบาทเติบโต 24%YoY ครึ่งแรกของปี 56 มีกำไร 1,422 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 18% คิดเป็น 43% ของประมาณการทั้งปี ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการตามเดิมเนื่องจากเชื่อว่าผลประกอบการครึ่งหลังของปีจะดีกว่าครึ่งแรกจากแผนเปิดสาขาใหม่อีก 7 แห่งและมีงานโฮมโปรเอ็กซ์โปในช่วงปลายปี ล่าสุดมีข่าวจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับ LH ในการขายพื้นที่เช่าโฮมโปรสาขาหัวหินซึ่งคาดจะสำเร็จในช่วงไตรมาสสุดท้าย
หุ้นเด่นรายวัน
MFEC (ราคาปิด 7.50 ซื้อเก็งกำไร) บริษัทคาดกำไรสุทธิปี 56 เติบโต 25%YoY จากการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนในด้าน ICTที่เพิ่มสูงขึ้นเพื่อรองรับเทคโนโลยี 3G , 4G และการเปิด AEC ประกอบกับบริษัทเพิ่งได้รับงานใหม่มูลค่าราว 5 พันล้านบาท ส่งผลให้ Backlog เพิ่มขึ้นสู่รัดับ 6-6.5 พันล้านบาท (ที่มา : ทันหุ้น)
CK(ปิด 21.30 ซื้อเป้าปี 56: 28.40), STEC (ปิด 21.80 ซื้อเป้าปี 56: 29.60) เก็งกำไรกลุ่มรับเหมาก่อสร้างก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทในช่วงวันที่ 19-20 ก.ย.นี้ แนะนำ CK และ STEC เด่นสุดของกลุ่มรับเหมาโดย CK จะมีกำไรสุทธิมากที่สุดของกลุ่มในปีนี้ขณะที่วันนี้แจ้งข่าวดีได้งาน จัดหา-ติดตั้งระบบรถไฟฟ้าสายสีม่วงของ BMCL มูลค่า 2 หมื่นลบ.ส่วน STEC คาดกำไรสุทธิในปีนี้จะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
BEAUTY (ราคาปิด 19.40 ซื้อเก็งกำไร เป้า consensus 28.32) ผู้บริหารเปิดเผยว่าบริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตรายได้ที่ 20 % และการเติบโตของกำไรสุทธิที่ 30 % แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยชะลอตัว แต่เชื่อว่าไม่กระทบกับผลการดำเนินงานของบริษัทจาก โดยคาดกำลังซื้อจะกลับมาช่วงไตรมาสสุดท้ายที่เป็นช่วงไฮซีซั่น ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งมีสัดส่วน 30% ที่มีอัตราการเติบโตก้าวกระโดดมีความสนใจผลิตภัณฑ์ของบริษัทมากขึ้น