“เดอไทย” ไม่หวั่นการเมืองอียิปต์เดือด ยอดขายดิวตี้ฟรี-โมเดิร์นเทรดพุ่งกว่าปกติ 30% เดินหน้าขยายตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารผ่านโมเดิร์นเทรด พร้อมทำตลาดเครื่องปรับอากาศและโซลาร์เซลล์ในสนามบินและโครงการก่อสร้างใหม่ๆ หลังคว้าสัมปทาน 5 ปีติดตั้ง CCTV ให้ 6 สนามบินหลัก พร้อมเตรียมแผนลงทุนในตลาดใหม่ โดยเฉพาะเคนยา และไนจีเรีย
ดร.โสดากิติ์ วงศ์โกมลเชษฐ์ เจ้าของและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอ ไทย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (เดอไทย คอร์ป) ผู้รับสัมปทานจำหน่ายสินค้าในร้านค้าปลอดภาษี (ดิวตี้ฟรี) และช่องทางโมเดิร์นเทรดในประเทศอียิปต์ เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองกลงกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใด เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงบริเวณเดียวแต่ไม่ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั้งประเทศ ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังใช้ชีวิตประจำวันตามปรกติ ประกอบกับบริษัทมีการจำหน่ายสินค้าในร้านค้าดิวตี้ฟรีภายในสนามบินต่างๆ ของประเทศอียิปค์ 6 แห่งคือ ไคโร, เฮอร์กาดา, ชาล์ม เอล เชค, เอลกูน่า, มาร์ซ่า อลาม และสุหัด ขณะเดียวกันบริษัทเพิ่งเพิ่มการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดทั่วประเทศเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา จึงทำให้ยอดขายของบริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“ในช่วงเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงนั้น แม้บริษัทอาจได้รับผลกระทบทางด้านยอดขายในส่วนของร้านค้าดิวตี้ฟรีที่สนามบินกรุงไคโร ซึ่งถือเป็นสาขาใหญ่ที่สุดด้วยขนาดพื้นที่ประมาณ 800 ตารางเมตร แต่ก็ได้รับยอดขายทดแทนจากสาขาสนามบินเฮอร์กาดาซึ่งมีขนาดเล็กกว่า แต่กลับทำยอดขายได้สูงถึง 6 เท่า หรือเพิ่มขึ้น 300% เนื่องจากเมืองเฮอร์กาดาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของประเทศอิยิปต์ในลักษณะคล้ายคลึงกับภูเก็ตของเรา”
บริษัทถือเป็นบริษัทคนไทยเพียงรายเดียวที่ทำธุรกิจการค้ากับสายการบินอียิปต์แอร์ไลน์ โดยเซ็นสัญญาสัมปทานร้านดิวตี้ฟรี ครั้งละ 3 ปี โดยในปีนี้นับเป็นปีที่ 4 ที่ได้เข้ามาดำเนินธุรกิจและได้รับการเซ็นสัญญาเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน โดยแต่ละปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายเติบโตเฉลี่ยปีละ 60% แต่สำหรับปีนี้คาดว่าจะสูงกว่านั้น เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเดือนละ 15-20% โดยเฉพาะในช่วงเดือนก.ค.ที่ผ่านมาซึ่งเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงนั้น ปรากฏว่ายอดขายของบริษัทเติบโตสูงขึ้นถึง 30%
สินค้าที่บริษัทจำหน่ายในร้านดิวตี้ฟรีมีความหลากหลายแทบทุกกล่มโดยส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องใช้ทั่วไป และเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับห้องครัว ยกเว้นเครื่องสำอาง บุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าแบรนด์ไทยประมาณ 80% ส่วนที่เหลือ 20% เป็นการนำเข้าจากกลุ่มประเทศยุโรปและจีน ขณะที่สินค้าที่จำหน่ายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดเป็นผลิตภัณฑ์อาหารทั้งหมด โดยในปี 2555 บริษัทมียอดขายรวมประมาณ 70 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.1 พันล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายผ่านร้านดิวตี้ปรี 60% และโมเดิร์นเทรด 40% โดยคาดว่าปี 2556 จะยังคงมีอัตราเติบโตไม่น้อยกว่า 60 %
“เหตุผลสำคัญที่เรามียอดขายสูงขึ้นมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประเทศอียิปต์มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 3 เท่า โดยมีประชากรมากกว่า 90 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นประชากรที่อยู่ในกรุงไคโรประมาณ 25 ล้านคน ทั้งยังมีกำลังซื้อที่สูง ประกอบกับมีความต้องการสินค้าคุณภาพที่มีมาตรฐานระดับสากล โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารที่มีความต้องการสูงมาก ขณะที่สินค้าไทยแทบทุกประเภทได้รับการยอมรับจากชาวอียิปค์ จึงทำให้เราสามารถกระจายสินค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยขณะนี้มีแผนที่จะเพิ่มสินค้าใหม่ๆ เข้าไปทำตลาดอย่างต่อเนื่อง”
ดร.โสดากิติ์ ยังเปิดเผยถึงแผนงานขยายธุรกิจด้วยว่า ปัจจุบันประเทศอียิปต์มีสนามบิน 30 แห่ง แบ่งเป็นสนามบินนานาชาติ 18 แห่ง สนามบินภายในประเทศ 12 แห่ง แต่บริษัทยังไม่มีนโยบายที่จะขยายร้านดิวตี้ฟรีเพิ่มเว้นแต่การเพิ่มประเภทสินค้าใหม่ๆ เท่านั้น โดยมั่นใจว่าการเปิดเขตประชมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 จะส่งผลให้บริษัทสามารถทำยอดขายได้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากจะสามารถนำสินค้าจากกลุ่มประเทศอาเซียนไปจำหน่ายในประเทศอียิปต์ได้อย่างสะดวกมากขึ้นโดยไม่มีปัญหาเรื่องการเสียกาษี
“เรายังได้รับการติดต่อจากรัฐบาลประเทศเยอรมนี สเปน และอิตาลี ให้เข้าไปดำเนินธุรกิจร้านดิวตี้ฟรีภายในสนามบินของทั้ง 3 ประเทศ แต่ยังไม่ตัดสินใจแต่อย่างใด เนื่องจากยังวิตกในเรื่องของมาตรฐานการจัดระบบงานและบุคลากรซึ่งทั้ง 3 ประเทศให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ค่อนข้างมาก”
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังเห็นช่องทางธุรกิจอื่นๆ ในประเทศอียิปต์ที่มีโอกาสเติบโตได้มากกว่า โดยล่าสุดบริษัทเพิ่งได้รับสัมปทานให้เป็นผู้ดูลระบบและติดตั้งกล้องวงจรปิด หรือ CCTV ภายในสนามบินหลักทั้ง 6 แห่ง เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยคาดว่าจะดำเนินการที่สนามบินกรุงไคโร เทอร์มินอล 3 แล้วเสร็จเป็นจุดแรกภายในเดือน ธ.ค.ศกนี้ จากนั้นจึงจะเริ่มดำเนินงานในสนามบินอื่นๆ ต่อไป โดยในปี 2557 บริษัทยังมีแผนที่จะดำเนินธุรกิจด้านการจำหน่าย ติดตั้ง และบริการดูแลรักษาสินค้าประเภทเครื่องปรับอากาศและแผงโซลาเซลล์ให้สนามบินแต่ละแห่ง ตลอดจนโครงการก่อสร้างต่างๆ เพิ่มขึ้นอีก
นอกจากนี้บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายช่องทางการลงทุนเข้าไปในประเทศเคนยาและไนจีเรีย หลังจากที่บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องปรุงรส อาทิ น้ำปลา น้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว และอื่นๆ ให้กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ในตลาดกลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกา
“ปัจจุบันทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญของกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง โดยเฉพาะน้ำมันจะค่อยๆ ลดลง ในขณะที่กลุ่มประเทศแอฟริกาเริ่มมีการสำรวจพบแหล่งน้ำมันใหม่ๆ เพิ่มขึ้น จึงคาดว่า กลุ่มประเทศแอฟริกาจะเริ่มมีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นภายใน 20 ปี ในช่วงนี้เราจึงต้องเตรียมความพร้อมและรอนโยบายของรัฐบาลประเทศต่างๆ ในแอฟริกาก่อนว่าจะสนับสนุนนักลงทุนต่างชาติและให้ความมั่นใจด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากเพียงใด ก่อนที่จะมีการตัดสินใจต่อไป”