แคเรียร์จับมือบี.กริมผุดบริษัทร่วมทุน หวังสร้างแกร่งตลาดแอร์บ้าน ควงโตชิบาขายร่วมกัน หวังขยับยอดขายต่อปีหน้าโตเท่าตัว หรือใน 5 ปีขึ้นท็อป 5 ของตลาดแอร์บ้าน พร้อมส่งรายได้รวมในสิ้นปีนี้โต 30% จาก 3,500 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
นายวรเศรษฐ์ ตันติศิริวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี.กริม แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มเครื่องปรับอากาศภายในบ้านที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ส่งผลให้ภาพรวมตลาดแอร์มีมูลค่ากว่า 24,000 ล้านบาท เติบโต 30% ในปีที่ผ่านมา โดยแบ่งออกเป็นแอร์บ้าน 16,000 ล้านบาท หรือกว่า 2 ใน 3 ของตลาด ความต้องการกว่า 1.2 ล้านเครื่อง และแอร์เชิงพาณิชย์ 8,000 ล้านบาท หรือ 1 ใน 3 ของตลาด ส่วนในปีนี้มองว่าตลาดรวมน่าจะโตได้ราว 5-10% เนื่องจากไม่มีปัญหาน้ำท่วมที่ทำให้ปีที่ผ่านมาเติบโตมากกว่าปกติ
ทั้งนี้ จากอัตราการเติบโตของกลุ่มแอร์บ้านที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ล่าสุดทางกลุ่มแคเรียร์ และ บี.กริมจึงได้จับมือกันก่อตั้งบริษัท บี.กริม แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้น ด้วยทุนจดทะเบียนกว่า 160 ล้านบาท สำหรับดูแลในส่วนของกลุ่มแอร์บ้านโดยเฉพาะ เพื่อต้องการสร้างยอดขายให้เติบโตได้รวดเร็วขึ้น หรือภายใน 1 ปีหลังจากนี้เชื่อว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว และใน 5 ปีมั่นใจว่าจะขึ้นเป็นท็อป 5 ของตลาดแอร์บ้านได้ จากปัจจุบันอยู่ในอันดับท็อป 10
สำหรับแผนการทำตลาดนั้น พอแยกตัวออกมาดูแลการทำตลาดแอร์บ้านออกจากการทำตลาดแอร์โดยรวมแล้ว ยังจะมีการจับมือกับทางโตชิบาเพื่อนำสินค้าเข้าไปวางจำหน่ายในช่องทางที่โตชิบามีอยู่อีก 300 ราย จากเดิมที่เรามีอยู่ 500 ราย ส่งผลให้จะมีช่องทางขายดีลเลอร์เพิ่มเป็น 800 รายได้ในสิ้นปีนี้ ซึ่งเดิมแคเรียร์ได้ดูแลการขายแอร์บ้านให้ทางโตชิบาอยู่แล้ว
การร่วมมือกับโตชิบาในครั้งนี้จะช่วยให้มียอดขายแอร์ทั้งของแบรนด์โตชิบา และแคเรียร์เพิ่มสูงขึ้นได้อย่างมาก ภายใต้งบการตลาดที่น่าจะใช้ภายใน 1 ปีหลังจากนี้มากกว่าเดิมไม่ต่ำกว่า 50% จากปัจจุบันในอยู่ 30-50 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ รัมมณีย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคเรียร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า แคเรียร์ถือเป็นผู้นำตลาดรวมเครื่องปรับอากาศในไทย โดยเฉพาะกลุ่มแอร์พาณิชย์ถือเป็นอันดับหนึ่งของตลาด ส่วนแอร์บ้านที่ดูแลแบรนด์แคเรียร์ และโตชิบา แคเรียร์ ที่บริษัทแม่เข้ามาถือหุ้นในกลุ่มแอร์ของโตชิบาและดูแลการขายทั้งหมดให้ในไทยนั้น เมื่อรวมยอดขายแล้วทำได้เพียง 1 ใน 3 ของรายได้รวม คิดเป็น 12,000 ล้านบาทเท่านั้น แบ่งออกเป็น แบรนด์แคเรียร์ และโตชิบาอย่างละ 50% เท่าๆ กัน ซึ่งจากการร่วมมือที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มั่นใจว่าจะช่วยเร่งยอดขายของแอร์บ้านให้เติบโตได้เร็วขึ้น พร้อมทำให้รายได้รวมของบริษัทเติบโตได้อีก 30% จาก 3,500 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในแง่กำลังซื้อของตลาดแอร์ในไตรมาสสี่ปีนี้เทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน ถือว่าตกลงกว่า 30% ส่วนสำคัญมาจากกำลังซื้อที่หดตัวลง แต่เชื่อว่าพอเข้าช่วงไตรมาสหนึ่งของปีหน้าจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง