ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า ธนาคารขนาดใหญ่ในสหรัฐ จำเป็นต้องปรับปรุงวิธีการกำหนดปริมาณเงินทุนที่ใช้รับมือกับวิกฤตการณ์ ในอนาคต โดยเฟดตั้งข้อสังเกตดังกล่าวโดยพิจารณาจากผลการทดสอบความแข็งแกร่งทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมา เฟดระบุในรายงานว่า ธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมในการทดสอบภาวะวิกฤติเป็นประจำ มีข้อบกพร่องในกระบวนการวางแผนดำรงเงินกองทุนของตน ซึ่งรวมถึงการที่ธนาคารไม่สามารถแสดงให้เห็นว่า ทางธนาคารได้พิจารณาความเสี่ยงทุกประการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตนแล้ว
เฟดระบุว่า "บริษัทโฮลดิ้งของธนาคารขนาดใหญ่ได้ปรับปรุงกระบวนการวางแผนดำรงเงินกองทุนของตนเป็นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทกลุ่มนี้ยังคงมีงานที่จำเป็นต้องทำต่อไป"
การทดสอบภาวะวิกฤติในธนาคารพาณิชย์ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ผู้ควบคุมกฎระเบียบนำมาใช้ในการสอดส่องดูแลตลาดการเงิน หลังจากเกิดวิกฤติการเงินในปี 2007-2009 โดยการทดสอบภาวะวิกฤตินี้มีจุดประสงค์เพื่อดูว่า ธนาคารขนาดใหญ่ในสหรัฐดำรงเงินกองทุนในระดับที่มากพอหรือไม่ หรือสามารถรับมือกับเหตุร้ายแรงในตลาดตามที่ตั้งสมมุติฐานไว้อย่างไรบ้าง
เฟดใช้การทดสอบภาวะวิกฤติเป็นเครื่องมือในการตัดสินว่า ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งสามารถซื้อคืนหุ้นหรือจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นได้หรือไม่ อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมการเงินร้องเรียนว่า การทดสอบของเฟดยังขาดความโปร่งใส
ในการทดสอบภาวะวิกฤติที่สิ้นสุดลงในเดือนมี.ค.ปีนี้นั้น เฟดได้ตำหนิเจพีมอร์แกน เชส และโกลด์แมน แซคส์ในด้าน "คุณภาพ" ของแผนการดำรงเงินกองทุน ถึงแม้สัดส่วนเงินกองทุนของธนาคารทั้งสองเป็นสิ่งที่ยอมรับ ได้
เฟดอนุมัติแผนการดำรงเงินกองทุนของบริษัทอีก 14 แห่ง ซึ่งรวมถึงซิตี้กรุ๊ป และแบงก์ ออฟ อเมริกา โดยไม่มีการตั้งเงื่อนไขใดๆ อย่างไรก็ดี เฟดระบุว่า ธนาคารทุกแห่งจำเป็นต้องปรับปรุงแผนของตนเองในบางด้าน
เฟดเปิดเผยว่า รายงานที่ออกมาได้บรรยายถึงความคาดหวังของเฟดและระบุถึงพฤติกรรมที่อ่อนแอหรือไม่อาจยอมรับได้ในการทดสอบภาวะวิกฤติครั้งก่อนๆ แต่ไม่มีการระบุชื่อธนาคารใดอย่างเฉพาะเจาะจง โดยรายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาบางประการ อย่างเช่นปัญหาในการบริหารกระบวนการวางแผน
การทดสอบภาวะวิกฤติภายใต้การดูแลของเฟดครั้งต่อไปจะเริ่มต้น ในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ โดยบริษัทที่จะเข้ารับการทดสอบในครั้งนี้รวมถึง บริษัท 18 แห่งที่เคยเข้ารับการทดสอบไปแล้วในปี 2013 และธนาคารอีก 12 แห่งที่มีสินทรัพย์สูงกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์
T.Thammasak
เฟดระบุว่า "บริษัทโฮลดิ้งของธนาคารขนาดใหญ่ได้ปรับปรุงกระบวนการวางแผนดำรงเงินกองทุนของตนเป็นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทกลุ่มนี้ยังคงมีงานที่จำเป็นต้องทำต่อไป"
การทดสอบภาวะวิกฤติในธนาคารพาณิชย์ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ผู้ควบคุมกฎระเบียบนำมาใช้ในการสอดส่องดูแลตลาดการเงิน หลังจากเกิดวิกฤติการเงินในปี 2007-2009 โดยการทดสอบภาวะวิกฤตินี้มีจุดประสงค์เพื่อดูว่า ธนาคารขนาดใหญ่ในสหรัฐดำรงเงินกองทุนในระดับที่มากพอหรือไม่ หรือสามารถรับมือกับเหตุร้ายแรงในตลาดตามที่ตั้งสมมุติฐานไว้อย่างไรบ้าง
เฟดใช้การทดสอบภาวะวิกฤติเป็นเครื่องมือในการตัดสินว่า ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งสามารถซื้อคืนหุ้นหรือจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นได้หรือไม่ อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมการเงินร้องเรียนว่า การทดสอบของเฟดยังขาดความโปร่งใส
ในการทดสอบภาวะวิกฤติที่สิ้นสุดลงในเดือนมี.ค.ปีนี้นั้น เฟดได้ตำหนิเจพีมอร์แกน เชส และโกลด์แมน แซคส์ในด้าน "คุณภาพ" ของแผนการดำรงเงินกองทุน ถึงแม้สัดส่วนเงินกองทุนของธนาคารทั้งสองเป็นสิ่งที่ยอมรับ ได้
เฟดอนุมัติแผนการดำรงเงินกองทุนของบริษัทอีก 14 แห่ง ซึ่งรวมถึงซิตี้กรุ๊ป และแบงก์ ออฟ อเมริกา โดยไม่มีการตั้งเงื่อนไขใดๆ อย่างไรก็ดี เฟดระบุว่า ธนาคารทุกแห่งจำเป็นต้องปรับปรุงแผนของตนเองในบางด้าน
เฟดเปิดเผยว่า รายงานที่ออกมาได้บรรยายถึงความคาดหวังของเฟดและระบุถึงพฤติกรรมที่อ่อนแอหรือไม่อาจยอมรับได้ในการทดสอบภาวะวิกฤติครั้งก่อนๆ แต่ไม่มีการระบุชื่อธนาคารใดอย่างเฉพาะเจาะจง โดยรายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาบางประการ อย่างเช่นปัญหาในการบริหารกระบวนการวางแผน
การทดสอบภาวะวิกฤติภายใต้การดูแลของเฟดครั้งต่อไปจะเริ่มต้น ในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ โดยบริษัทที่จะเข้ารับการทดสอบในครั้งนี้รวมถึง บริษัท 18 แห่งที่เคยเข้ารับการทดสอบไปแล้วในปี 2013 และธนาคารอีก 12 แห่งที่มีสินทรัพย์สูงกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์
T.Thammasak
