xs
xsm
sm
md
lg

เมเจอร์ฯ ปรับขึ้นค่าโฆษณา 10% แยกพารากอนขายเดี่ยวเป็นแพกเกจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตลาดสื่อโฆษณาในโรงภาพยนตร์ครึ่งปีหลังแนวโน้มฟื้นตัวหลังปรับฐานใหม่ ทั้งปีคาดเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% “เมเจอร์ ซีนีแอด” มุ่งปรับตัวรับวิธีการใช้สื่อใหม่หลังกระแสดิจิตอลมาแรง งัดครีเอทีฟร่วมปั๊มรายได้ แยกพารากอนขายเดี่ยว พร้อมบุกหนักด้านสื่อออนไลน์ปีหน้า เตรียมเทอีก 50 ล้านบาทเพิ่มจอมอนิเตอร์ทั้งอินดอร์และเอาต์ดอร์ภายในโรงหนังไม่ต่ำกว่า 10 จุด มั่นใจสิ้นปีรายได้ทะลุ 1,000 ล้านบาท เติบโต 20%

นายนิธิ พัฒนภักดี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายสื่อสารโฆษณา บริษัท เมเจอร์ ซีนีแอด จำกัด ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดโฆษณาในสื่อโรงภาพยนตร์ช่วงครึ่งปีหลังนี้เชื่อว่าจะกลับมาเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% ทุกเดือน จากเดิมใน 5 เดือนแรกติดลบร่วม 15-20% ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับฐานการสำรวจใหม่ หลังจากปีก่อนมีการขยายตัวของโรงภาพยนตร์ค่อนข้างมาก บวกกับช่วงครึ่งปีหลังรายชื่อภาพยนตร์ทำเงินมีหลายเรื่องล้วนส่งผลให้มีคนเข้าชมภาพยนตร์ในโรงหนังมากขึ้น ถือเป็นปัจจัยบวกที่ดีที่ช่วยให้ลูกค้าพร้อมใช้เม็ดเงินโฆษณาในสื่อนี้ หรือตลอดทั้งปีมองว่าเม็ดเงินโฆษณาจะเติบโตได้ร่วม 20%

อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทได้ร่วมกับทางเจเอฟเคสำรวจพฤติกรรมผู้ที่เข้ามาชมภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์จำนวนกว่า 2,000 คน พบว่าไลฟ์สไตล์กลุ่มเป้าหมายของโรงภาพยนตร์ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์สูง มีความเป็นผู้นำ เปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ และชอบใช้จ่ายเงินเพื่อตัวเอง ที่สำคัญกว่า 68% ของผู้สำรวจชอบดูโฆษณาในโรงภาพยนตร์ และกว่า 67% ตั้งใจดูโฆษณาในโรงภาพยนตร์มากกว่าสื่ออื่นๆ ถือเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการต่อยอดการขายโฆษณาได้

ล่าสุดบริษัทเริ่มมีการปรับแผนการขายโฆษณาไปบ้างแล้ว เช่น 1. เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาได้แยกขายโฆษณาในสาขาพารากอนซีนีเพล็กซ์ออกมาเนื่องจากเป็นสาขาที่ทำรายได้สูงสุด และมีผู้เข้าชมภาพยนตร์มากที่สุด โดยจะเน้นขายโฆษณาแบบแพกเกจรายเดือน ซึ่งหลังแยกออกมาขายเดี่ยวแล้วยังได้ปรับราคาโฆษณาเฉลี่ยขึ้นอีก 10% ส่วนสาขาอื่นหลังปรับไปเมื่อปลายปีก่อนยังไม่ได้มีการปรับราคาขึ้นอีกแต่อย่างใด

2. ปรับโพซิชันนิ่ง และวางกลยุทธ์ Creativity Convergence Communication โดยการดึงเอเยนซีที่ปรึกษามาช่วยคิด สร้างอินติเกรตในสื่อโรงภาพยนตร์สู่ประสบการณ์ให้แก่ผู้ชมมากขึ้น ซึ่งได้เริ่มพรีเซลลูกค้าไปกว่า 20 รายแล้ว ทั้งลูกค้าเก่าและใหม่ และกว่า 10 รายให้ความสนใจการใช้สื่อโฆษณาในลักษณะดังกล่าว

3. สื่อออนไลน์ ถือเป็นสื่อที่มีโอกาสสร้างรายได้ที่สนใจอย่างมาก จากปัจจุบันบริษัทได้เริ่มใช้สื่อดังกล่าวมาต่อยอดการใช้สื่อในโรงภาพยนตร์ของลูกค้าไปบ้างแล้ว ซึ่งมีอยู่กว่า 9 สื่อออนไลน์ที่เมเจอร์เข้าถึงและมีฐานผู้ชมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไลน์ เป็นต้น โดยพบว่าเฟซบุ๊กเป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพมากสุดในการเข้าถึงฐานผู้ชม โดยปีหน้าบริษัทจะให้ความสำคัญต่อสื่อออนไลน์มากขึ้น เชื่อว่าจะเริ่มเห็นรายได้ชัดเจน หรือเติบโตจากปีนี้เป็น 100% จากรายได้ที่น้อยอยู่มากไม่ถึง 1-2% ของรายได้รวมเมเจอร์ ซีนีแอด

นอกจากนี้ ในปีหน้าบริษัทยังพร้อมใช้เงินอีกกว่า 40-50 ล้านบาทสำหรับเพิ่มจอสกรีนขนาดใหญ่ทั้งอินดอร์และเอาต์ดอร์ไม่ต่ำกว่า 10 จุด รวมถึงจอสกรีนขนาดเล็กอีกหลายจอ ตามสาขาใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าด้วย จากปัจจุบันรายได้กว่า 70% มาจากการโฆษณาในโรงภาพยนตร์ 10% มาจากจอสกรีนขนาดต่างๆ ที่เหลืออีก 20% มาจากกิจกรรมและอื่นๆ รวมกัน รวมแล้วทั้งปีนี้มองว่าจะมีการเติบโตกว่า 20% หรือเป็นปีแรกที่ทำรายได้ถึง 1,000 ล้านบาท

นายนิธิกล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าใหม่ 20% ลูกค้าเดิม 80% โดยแนวโน้มกลุ่มลูกค้าที่สื่อโฆษณาในโรงภาพยนตร์มากสุด คือ เครื่องดื่ม/สแน็ก, ยานยนต์, เครื่องใช้ไฟฟ้า, คอมมูนิเคชัน ตามลำดับ ส่วนราชการลดน้อยลง ซึ่งหลังเดือน ต.ค.นี้น่าจะกลับมาเพิ่มขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจที่จัดทำขึ้นเชื่อว่ากลุ่มสินค้าคอนซูเมอร์โปรดักต์ และสินค้าสำหรับเด็กมีโอกาสสูงมากที่จะเข้ามาใช้สื่อโฆษณาในโรงภาพยนตร์

กำลังโหลดความคิดเห็น