ASTVผู้จัดการรายวัน - ซีพี-เมจิลงทุนปรับโรงงานเก่า ผุดโรงงานใหม่กว่า 3 พันล้านบาท พร้อมเทงบการตลาด 100 ล้านบาท ดึง “เจมส์-จิรายุ” โปรโมตผลิตภัณฑ์ใหม่โยเกิร์ตคงตัว เผยตลาดโตอย่างต่อเนื่องแต่ยังขาดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ มั่นใจสามารถครองตลาดระดับพรีเมียมพร้อมกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้น 10% และครองส่วนแบ่งตลาดรวมเป็นอันดับ 2 ในปี 57
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมรายใหญ่ของประเทศไทยภายใต้แบรนด์ “เมจิ” เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงทุนประมาณ 1 พันล้านบาทในการปรับปรุงโรงงานเก่า พร้อมลงทุนเพิ่มอีก 2 พันล้านบาทในการก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 บนพื้นที่ 140 ไร่ในเขต จ.สระบุรี รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 3 พันล้านบาทเพื่อเป็นการเพิ่มสายการผลิตโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวโดยเฉพาะ เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาตลาดโยเกิร์ตมีการขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากการทำกิจกรรมทางการตลาดของแบรนด์หลัก การขึ้นราคาสินค้าของแบรนด์ผู้นำตลาด และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีราคาสูงขึ้น
ในปี 2555 ตลาดรวมโยเกิร์ตมีมูลค่าประมาณ 4.4 พันล้านบาท มีอัตราเติบโตเฉลี่ย 33.4% โดยในส่วนของเมจิมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 3 ด้วยส่วนแบ่งประมาณ 10% มีรายได้ประมาณ 400 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของรายได้รวมในปี 2555 ซึ่งมีประมาณ 5.2 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 600 ล้านบาทและมีส่วนช่วยผลักดันรายได้รวมบริษัทให้เป็นไปตามเป้าหมาย 6 พันล้านบาทในปี 2556
“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถเพิ่มรายได้จากผลิตภัณฑ์โยเกิร์ต เนื่องจากคนไทยมีการบริโภคโยเกิร์ตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากความใส่ใจในเรื่องสุขภาพ ล่าสุดในปี 2555 มีการบริโภคเพิ่มขึ้นถึง 20.6% ขณะเดียวกันบริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่คือ “โยเกิร์ต เมจิ บัลแกเรีย” ซึ่งถือเป็นโยเกิร์ตคงตัวที่ใช้จุลินทรีย์สายพันธุ์แท้ LB81 จากประเทศบัลแกเรียอย่างถูกต้องตามกฎหมายเพียงรายเดียว โดยมุ่งเน้นผู้บริโภคกลุ่มหนุ่มสาววัยทำงานที่ใส่ใจในเรื่องสุขภาพ”
อย่างไรก็ตาม แม้คนไทยจะมีการบริโภคโยเกิร์ตเพิ่มมากขึ้นแต่ยังถือว่ามีอัตราการบริโภคเฉลี่ยที่น้อยมากคือคนละ 2 กก.ต่อปีเท่านั้น เนื่องจากส่วนใหญ่ยังมีทัศนคติในการบริโภคเพียงเพื่อแก้ไขปัญหาท้องผูกเป็นหลัก ในขณะที่ชาวต่างประเทศนิยมบริโภคเนื่องจากเห็นว่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยในสหรัฐอเมริกามีอัตราการบริโภคเฉลี่ยคนละ 7 กก.ต่อปี คนญี่ปุ่นและแคนาดาบริโภคเฉลี่ย 10 กก.ต่อปี ส่วนคนยุโรปบริโภคเฉลี่ยคนละ 27 กก.ต่อปี
ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้ในช่วงที่ผ่านมาตลาดโยเกิร์ตไทยมีการแข่งขันกันผ่านผลิตภัณฑ์ในรูปแบบที่คล้ายๆ กัน คือซอฟต์โยเกิร์ต ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วโยเกิร์ตมีมากมายหลายชนิดและมีนวัตกรรมที่น่าสนใจอีกมาก บริษัทจึงเห็นโอกาสในการยกระดับตลาดโยเกิร์ตและขยายการเติบโตผ่านการสร้างเซกเมนต์ใหม่ด้วยผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมในรูปแบบเซตโยเกิร์ตที่มีจุดเด่น 3 ด้าน คือ ใช้จุลินทรีย์สายพันธุ์แท้ที่ได้รับการยอมรับว่าคุณภาพดีที่สุดในโลก ผ่านกระบวนการผลิตโดยปราศจากสารปรุงแต่งใดๆ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ได้เนื้อโยเกิร์ตที่แน่น เนียน นุ่ม และมีรสชาติอร่อยเข้มข้น
“ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมายอดขายผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตเมจิของบริษัทมีการเติบโตสูง 80-90% ต่อปี แต่เนื่องจากส่วนแบ่งตลาดและฐานลูกค้าเรายังไม่ใหญ่มากนักจึงทำให้มียอดขายไม่สูงมากนัก การลงทุนครั้งนี้จึงถือเป็นการพลิกโฉมและสร้างเซกเมนต์ใหม่ให้ตลาดโยเกิร์ตในประเทศไทยเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคด้วยการนำเสนอสินค้าคุณภาพและคุณประโยชน์ที่แตกต่างล้ำสมัย โดยการลงทุนครั้งนี้ทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตประมาณ 1.5 แสนถ้วยต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิม โดยคาดว่าในช่วงเดือนแรกจะสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 6-8 หมื่นถ้วยต่อวัน”
บริษัทเตรียมเปิดตลาดผลิตภัณฑ์โยเกิร์ต เมจิ บัลแกเรีย ในวันที่ 18 ส.ค.ศกนี้ โดยในช่วงเดือนแรกจะจัดจำหน่ายผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่นกว่า 7 พันสาขาทั่วประเทศ พร้อมจัดโปรโมชันพิเศษซื้อ 2 ถ้วยได้รับแสตมป์ 9 ดวง จากนั้นจึงจะเริ่มกระจายสินค้าผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดและห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป โดยในเบื้องต้นท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ได้แสดงความสนใจและติดต่อขอนำสินค้าไปจัดจำหน่ายแล้ว
ในส่วนของการสร้างช่องทางการรับรู้สู่ผู้บริโภคนั้น บริษัทใช้งบประมาณเป็นจำนวน 100 ล้านบาทในการกระตุ้นตลาดอย่างเต็มที่ โดยมีการใช้ “เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข” เป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์คนแรก พร้อมกันนั้นยังมีการจัดทำโฆษณาโทรทัศน์ความยาว 45 วินาทีเพื่อให้ความรู้แก่ผู้บริโภคถึงความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ใหม่ นอกจากนี้ยังเตรียมคาราวานแจกชิมสินค้าเป็นจำนวน 8 แสนถ้วยในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเพื่อสร้างการทดลองบริโภค และผลักดันยอดขายด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขายที่มีครอบคลุมตั้งแต่สื่อ ณ จุดขาย กิจกรรมชงชิมสินค้า และโปรโมชันส่งเสริมการขายในทุกช่องทาง
“การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นการสร้างความแตกต่างที่แปลกใหม่ของผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตในตลาด ซึ่งคาดว่าจะยังเติบโตอย่างน้อย 20% หรือมีมูลค่าประมาณ 4.6 พันล้านบาทในปี 2556 เนื่องจากที่ผ่านมา 7 เดือนตลาดมีมูลค่าแล้วประมาณ 2.5 พันล้านบาท โดยบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถขึ้นเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ในเซกเมนต์นี้และมีส่วนช่วยผลักดันให้เพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 ภายในปี 2557 ด้วยยอดขายขั้นต่ำ 1 พันล้านบาทจากมูลค่าตลาดซึ่งคาดว่าจะเติบโตเป็น 4.8-4.9 พันล้านบาท"
ทั้งนี้ ในช่วงต้นปี 2557 บริษัทจะเริ่มทำการส่งออกไปยังประเทศสิงคโปร์เป็นแห่งแรก ก่อนที่จะขยายไปยังประเทศอื่นๆ ต่อไป