- ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐในเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 162,000 ตำแหน่ง โดยมีอัตราว่างงานลดลงสู่ 7.4% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ ธ.ค.2551 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขจ้างงานยังต่ำกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 175,000 ราย เนื่องจากภาษีที่สูงขึ้นกับการลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐได้ส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ บริษัทเอกชนจ้างงานเพิ่มขึ้น 161,000 ตำแหน่งโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก บริการด้านอาหาร ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจค้าส่ง
- ก.พาณิชย์สหรัฐ รายงานว่า ยอดการบริโภคส่วนบุคคลเดือน มิ.ย.เพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อน ขณะที่รายได้ส่วนบุคคลขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปที่ 0.3% โดยมียอดซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นในกลุ่มยานยนต์ และส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้น
- ก.พาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานในเดือนมิ.ย.อยู่ที่ 4.96 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 1.5% จากเดือนก่อน แต่ต่ำกว่าที่ตลาดคาดว่าจะขยายตัว 2.3% โดยยอดสั่งซื้อโดยรวมที่เพิ่มขึ้นนั้นได้รับแรงผลักดันจากยอดสั่งซื้อเครื่องบินในภาคพลเรือนที่เพิ่มขึ้น 32% แต่ถูกกดดันด้วยยอดสั่งซื้อด้านคมนาคมที่อ่อนตัวลง 0.4% กับยอดสั่งซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่ร่วงลง 0.7%
- สหรัฐออกประกาศเตือนชาวอเมริกันให้ระมัดระวังการเดินทางทั่วโลกจากเหตุการณ์ก่อการร้ายโดยเฉพาะในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ทั้งนี้ สหรัฐได้ปิดสถานทูตและสถานกงสุลหลายแห่งในตะวันออกกลางไปแล้ว เพราะมีข้อมูลที่ชี้ว่ากลุ่มอัลกออิดะห์และกลุ่มอื่นๆ วางแผนก่อการร้ายทั้งในภูมิภาคและนอกภูมิภาคตลอดเดือนสิงหาคม
- รัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่มคาดการณ์อัตราขยายตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในปีงบการเงิน 2556 เป็น 2.8% จากเดิม 2.5% และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ 0.5% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่ปีงบการเงิน 2551 โดยระบุว่า นโยบาย “อาเบะโนมิคส์" จะช่วยจุดประกายความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและกระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้จ่ายมากขึ้น
- ก.คลัง ออสเตรเลีย คาดการณ์ว่า อัตราขยายตัวของเศรษฐกิจออสเตรเลียจะอยู่ที่ 2.5% ในปี 2556-2557 ลดลงจากที่คาดไว้เดิมที่ 2.75% และคาดว่าอัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้นจาก 5.75% เป็น 6.25% อนึ่ง การปรับลดคาดการณ์ในครั้งนี้เป็นผลจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในภาคเหมืองแร่และพลังงานปรับตัวลงเร็วกว่าคาด โดยมีสาเหตุจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นในออสเตรเลียและประเทศอื่นๆ ในขณะที่ศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นเป็นระดับ 3% ในปี 2557-2558
- สหพันธ์พลาธิการและการจัดซื้อของจีน (CFLP) รายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของจีนปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 54.1 จุดในเดือน ก.ค. จาก 53.9 จุดในเดือน มิ.ย.ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับดัชนีภาคการผลิตที่เพิ่งประกาศไปก่อนหน้านี้ โดยดัชนีที่ดีขึ้นเล็กน้อยนั้นเป็นสัญญาณที่ดีขึ้นต่อเศรษฐกิจจีนในช่วงครึ่งปีหลัง
- GDP ไตรมาส 2 ของอินโดนีเซียขยายตัว 5.81% ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่ขยายตัว 6.02% เนื่องจากการลงทุนชะลอตัวลง อัตราเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และการอ่อนค่าลงของเงินรูเปียห์ ทั้งนี้ ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ลงสู่ระดับ 5.8-6.2% จากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ 6.6%
- อินเดียเตรียมผ่อนปรนข้อกำหนดสำหรับผู้ค้าปลีกต่างชาติที่ต้องการลงทุนในกิจการซูเปอร์มาร์เก็ตของอินเดียเพื่อดึงดูดให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนทำธุรกิจมากขึ้น โดยจะเริ่มในเดือน ก.ย. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามแก้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่เพิ่มมากขึ้น และการอ่อนค่าของเงินรูปี อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีบริษัทใดยื่นขอใบอนุญาตเพื่อดำเนินธุรกิจ
- อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัด ก.คลัง กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยมีศักยภาพที่จะโตได้เฉลี่ยปีละ 4.5% ในช่วง 7 ปีข้างหน้า แต่ถ้าต้องการพัฒนาจากประเทศรายได้ปานกลางเป็นประเทศรายได้สูง จะต้องลงทุนเพิ่ม ทั้งนี้ ก.คลังมีเป้าหมายที่จะให้เศรษฐกิจไทยโตได้ถึง 6% ต่อปี อย่างไรก็ตาม ต้องบริหารความเสี่ยงภาคการคลังควบคู่ไปด้วย โดยต้องคำนึงใน 3 เรื่อง คือ 1.เก็บรายได้ให้เพียงพอ 2.บริหารรายจ่ายให้สอดคล้องกับรายได้ และ 3.ดูแลการใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ
- SET Index ปิดที่ 1,420.94 จุด ลดลง 16.57 จุด หรือ -1.15% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 37,950 ล้านบาท สวนทางกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคที่ปรับตัวขึ้นโดยส่วนใหญ่ (ยกเว้นตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ที่ปรับตัวลง 1.9%) เนื่องจากตลาดหุ้นไทยถูกกดดันจากปัจจัยการเมืองเรื่องการชุมนุมต่อต้านการร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่จะมีการพิจารณาในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ทั้งนี้ ถ้ารัฐบาลขาดเสถียรภาพจะส่งผลกระทบต่อการผลักดันนโยบาย และจะทำให้เศรษฐกิจไทยที่กำลังชะลอตัวยิ่งขาดปัจจัยกระตุ้นได้อีก
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลงอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไปปรับตัวขึ้นทุกรุ่น โดยเปลี่ยนแปลงในช่วงระหว่าง 0.00% ถึง +0.02%
- Warren Buffet
“ผู้ลงทุนควรถือหุ้นของบริษัทในดวงใจไว้เสมอ ไม่มากก็น้อย และถือหุ้นด้วยความคิดที่ว่าเขาเป็นเจ้าของกิจการคนหนึ่งที่มองอนาคตของธุรกิจในระยะยาวตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้ลงทุนมองข้ามความผันผวนเล็กน้อยในระยะสั้นไปได้”
