“กฟผ.” จับมือกรมชลฯ ผลิตไฟจากน้ำท้ายเขื่อนคลองตรอน-กิ่วคอหมา

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับกรมชลประทาน ลงนามบันทึกข้อตกลงพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กท้ายเขื่อนคลองตรอน และเขื่อนกิ่วคอหมาในภาคเหนือ ขนาดกำลังผลิต 8 เมกะวัตต์ รวมกับแผนเดิมที่ดำเนินการแล้ว 6 เขื่อนผลิตไฟได้ถึง 86.7 เมกะวัตต์ ประหยัดเงินได้ 1,275 ล้านบาทต่อปี

นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กท้ายเขื่อนชลประทาน เขื่อนคลองตรอน จ.อุตรดิตถ์ และเขื่อนกิ่วคอหมา จ.ลำปาง ขนาดกำลังผลิตรวม 8 เมกะวัตต์ ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินงานก่อสร้างเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2554 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบูรณาการการบริหารจัดการน้ำให้ได้ประโยชน์สูงสุด และส่งเสริมการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าตามนโยบายกระทรวงพลังงาน

โรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนคลองตรอน จ.อุตรดิตถ์ ขนาดกำลังผลิตรวม 2.5 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจำนวน 2 ชุด กำลังผลิตชุดละ 1.25 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนกิ่วคอหมา จ.ลำปาง ขนาดกำลังผลิตรวม 5.5 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจำนวน 3 ชุด ชุดที่ 1 และ 2 มีกำลังผลิตชุดละ 2.5 เมกะวัตต์ ชุดที่ 3 กำลังผลิต 0.5 เมกะวัตต์ โดยทั้งสองเขื่อนมีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2559 หากดำเนินการบรรลุตามแผนจะสามารถผลิตไฟฟ้าเสริมระบบได้ประมาณ 45 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงิน 132 ล้านบาทต่อปี สามารถลดการนำเข้าเชื้อเพลิงต่างประเทศได้ 167 ล้านบาทต่อปี และลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สาเหตุทำให้เกิดโลกร้อนลงได้ 26,155 ตันต่อปี 

ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวต่อว่า กฟผ.และกรมชลประทานได้มีความร่วมมือในการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนชลประทานมาตั้งแต่ปี 2550 จำนวน 6 เขื่อน ขนาดกำลังผลิตรวม 78.7 เมกะวัตต์ ซึ่งหากรวมโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนคลองตรอน จ.อุตรดิตถ์ และโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนกิ่วคอหมา จ.ลำปาง จะได้กำลังผลิตติดตั้งจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนชลประทานทั้งสิ้นจำนวน 86.7 เมกะวัตต์ สามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อเสริมระบบได้รวม 425 ล้านหน่วยต่อปี หรือคิดเป็นเงิน 1,275 ล้านบาทต่อปี ลดการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศได้รวม 1,641 ล้านบาทต่อปี และลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้รวม 242,250 ตันต่อปี