“พาณิชย์” สั่งเคาะขายน้ำมันปาล์มทั้งสต๊อกไปต่างประเทศ แต่แบ่งให้ กฟผ.1 หมื่นตัน โดยให้ อคส.ดูราคาเหมาะสมก่อนขาย ด้าน บอร์ด อคส.เลื่อนเห็นชอบ ผอ.คนใหม่ อ้างคุยเงินเดือนไม่จบ ยัน อคส.สถานะดีขึ้น ฝันปีนี้กำไร 450 ล้านบาท
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการระบายน้ำมันปาล์มเห็นชอบหลักการให้มีการเปิดระบายน้ำมันปาล์มที่รัฐบาลรับซื้อออกไปทั้งหมด โดยแบ่งเป็นการขายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 1 หมื่นตันเพื่อนำไปผลิตกระแสไฟฟ้า ส่วนน้ำมันปาล์มในส่วนที่เหลือเห็นชอบให้มีการส่งออกนอกประเทศทั้งหมด โดยราคาขายได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน และองค์การคลังสินค้า (อคส.) ไปหารือถึงช่วงเวลาในการขาย รวมถึงการกำหนดราคาขายที่เหมาะสมอีกครั้งเพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาภายในประเทศ
ส่วนการที่เจ้าหน้าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ขอเข้าพบเพื่อต้องการมาเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลขเศรษฐกิจเป็นปกติเพื่อนำไปสรุปเป็นข้อมูลประจำปีไม่ได้มีวาระพิเศษอะไร และจะมีการทยอยเก็บข้อมูลทุกประเทศที่เป็นสมาชิกไอเอ็มเอฟ
รายงานข่าวแจ้งเพิ่มว่า การรับซื้อปาล์มน้ำมันเพื่อเป็นการแทรกแซงช่วยเหลือผู้ปลูกปาล์ม โดยมีมติให้รับซื้อทั้งหมด 1 แสนตัน แบ่งเป็นการรับซื้อรอบแรก 5 หมื่นตัน และรอบสองอีก 5 หมื่นตัน
พ.ต.ท.ไพโรจน์ ปัญจประทีป ประธานคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า (อคส.) กล่าวว่า ที่ประชุมบอร์ดเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2556 ยังไม่เห็นชอบให้นายชนุตร์ปกรณ์ วงศ์สีนิล เป็นผู้อำนวยการ อคส.คนใหม่ เนื่องจากยังเจรจาสัญญาว่าจ้างตามระเบียบราชการไม่เสร็จ จึงต้องเลื่อนการเห็นชอบไปวันที่ 20 มิ.ย.นี้ และหลังจากนั้นจะเสนอที่ ครม.เห็นชอบ โดยการดำเนินการจะแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือน มิ.ย. หลังจากนั้นจะให้ผู้อำนวยการ อคส.คนใหม่จัดทำแผนการทำงานเพื่อเป็นดัชนีชี้วัดการทำงานประเมินทุก 6 เดือน
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับรองความคืบหน้าในการจัดทำแผนฟื้นฟู อคส. โดยเน้นการเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และเพิ่มกำไรอีก 15% ในปี 56 ซึ่งจะทำให้ อคส.มีกำไรเพิ่มจาก 390 ล้านบาท เป็น 440-450 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากการขยายธุรกิจจำหน่ายสินค้า เช่น ข้าวถุง รวมถึงจับมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการเร่งรัดใช้พื้นที่คลังที่มีให้เป็นประโยชน์ โดยขณะนี้สถานะของ อคส.ดีขึ้น ซึ่งผลการตรวจสอบสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ประเมินผลงานของ อคส.ดีขึ้น จากอันดับ 44 เพิ่มเป็นที่ 31 จากรัฐวิสาหกิจทั้งหมด 49 แห่ง โดยได้คะแนนการประเมินเพิ่มจาก 2.7% เป็น 3.4%