นายเดวิด ลิปตัน กรรมการผู้จัดการอันดับที่ 1 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยในการแถลงข่าววันนี้ว่า IMF ประกาศปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจสำหรับจีนในปีนี้ลงสู่ระดับ 7.75% จากเดิมที่ 8% โดยระบุถึงเศรษฐกิจโลกและการส่งออกที่อ่อนแอ และกล่าวว่า สิ่งสำคัญอันดับแรกของจีนควรจะเป็นการควบคุมการขยายตัวของการปล่อยสินเชื่อทางสังคม
ทั้งนี้ การปล่อยสินเชื่อทางสังคมของจีนได้ขยายตัวในอัตราที่เป็นตัวเลข 2 หลักในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เกิดความวิตกว่า ปริมาณสินเชื่อที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วของจีนอาจกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อในอนาคต
นอกจากนี้ IMF ยังได้แนะนำให้จีนดำเนินมาตรการกระตุ้นด้านการคลัง หากการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของ IMF
การปรับลดคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากนักเศรษฐศาสตร์ภาคเอกชนรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในปีนี้ลงหลายครั้ง หลังการเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตและการลงทุนที่อ่อนแอในเดือนเม.ย. รวมทั้งกิจกรรมการผลิตที่ต่ำกว่าคาดในเดือนพ.ค.
ตัวเลขการคาดการณ์ของ IMF อยู่สูงกว่าเป้าหมายของรัฐบาลที่ 7.5% แต่สอดคล้องกับการปรับตัวเลขคาดการณ์ในช่วงก่อนหน้านี้ของ แบงก์ ออฟ อเมริกา-เมอร์ริลล์ ลินช์ ซึ่งปรับลดคาดการณ์ในเดือนนี้ สู่ 7.6% จาก 8% และของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ซึ่งปรับลด ตัวเลขคาดการณ์ลงสู่ 7.7% จาก 8.3% ขณะที่ไอเอ็นจีปรับลดคาดการณ์ลงสู่ 7.8% จาก 9%
"อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้นพอประมาณ ในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่การขยายตัวของสินเชื่อเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก" นายลิปตันกล่าวในการแถลงข่าว
แตกต่างจากช่วงหลายปีก่อน ซึ่งเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีนมักถูกจัดการด้วยมาตรการแทรกแซงอย่างหนักของรัฐบาลเพื่อทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพ แต่ตลาดมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ในครั้งนี้จีนจะไม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เนื่องจากผู้กำหนดนโยบายมีการยอมรับมากขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงเพื่อปรับปรุงคุณภาพเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียงของจีน กล่าวว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน แต่ประเด็นสำคัญต่อการรักษาเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพก็คือการสร้างภาคบริการ
"จีนมีศักยภาพสูงที่จะพัฒนาภาคบริการ เพราะเรามีประชากร 1.3 พันล้านคน และความต้องการบริการต่างๆก็มีมากมายมหาศาล" นายหลี่ กล่าว
ภาคบริการมีสัดส่วนเพียง 44.6% ของจีดีพีในปี 2012 และสร้างงานเพียง 36% จากการจ้างงานทั้งหมดในจีน ซึ่งต่ำกว่าในหลายๆประเทศ
"ดังนั้น จึงเป็นภารกิจที่มีความสำคัญสำหรับจีนที่จะเร่งการพัฒนาภาคบริการ" นายหลี่กล่าว
ขณะเดียวกัน ไอเอ็มเอฟยังระบุว่า อัตราเงินเฟ้อในจีนอาจจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3% ภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่คาดว่ายอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะมีสัดส่วนเท่ากับ 2.5% ของจีดีพีในปีนี้ เทียบกับ 2.6% ในปีที่แล้ว
ไอเอ็มเอฟยังระบุว่า ค่าเงินหยวน "มีมูลค่าต่ำเกินจริงในระดับปานกลาง" เมื่อเทียบกับตะกร้าเงิน
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak
ทั้งนี้ การปล่อยสินเชื่อทางสังคมของจีนได้ขยายตัวในอัตราที่เป็นตัวเลข 2 หลักในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เกิดความวิตกว่า ปริมาณสินเชื่อที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วของจีนอาจกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อในอนาคต
นอกจากนี้ IMF ยังได้แนะนำให้จีนดำเนินมาตรการกระตุ้นด้านการคลัง หากการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของ IMF
การปรับลดคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากนักเศรษฐศาสตร์ภาคเอกชนรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในปีนี้ลงหลายครั้ง หลังการเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตและการลงทุนที่อ่อนแอในเดือนเม.ย. รวมทั้งกิจกรรมการผลิตที่ต่ำกว่าคาดในเดือนพ.ค.
ตัวเลขการคาดการณ์ของ IMF อยู่สูงกว่าเป้าหมายของรัฐบาลที่ 7.5% แต่สอดคล้องกับการปรับตัวเลขคาดการณ์ในช่วงก่อนหน้านี้ของ แบงก์ ออฟ อเมริกา-เมอร์ริลล์ ลินช์ ซึ่งปรับลดคาดการณ์ในเดือนนี้ สู่ 7.6% จาก 8% และของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ซึ่งปรับลด ตัวเลขคาดการณ์ลงสู่ 7.7% จาก 8.3% ขณะที่ไอเอ็นจีปรับลดคาดการณ์ลงสู่ 7.8% จาก 9%
"อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะกระเตื้องขึ้นพอประมาณ ในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่การขยายตัวของสินเชื่อเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก" นายลิปตันกล่าวในการแถลงข่าว
แตกต่างจากช่วงหลายปีก่อน ซึ่งเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีนมักถูกจัดการด้วยมาตรการแทรกแซงอย่างหนักของรัฐบาลเพื่อทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพ แต่ตลาดมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ในครั้งนี้จีนจะไม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เนื่องจากผู้กำหนดนโยบายมีการยอมรับมากขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงเพื่อปรับปรุงคุณภาพเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียงของจีน กล่าวว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน แต่ประเด็นสำคัญต่อการรักษาเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพก็คือการสร้างภาคบริการ
"จีนมีศักยภาพสูงที่จะพัฒนาภาคบริการ เพราะเรามีประชากร 1.3 พันล้านคน และความต้องการบริการต่างๆก็มีมากมายมหาศาล" นายหลี่ กล่าว
ภาคบริการมีสัดส่วนเพียง 44.6% ของจีดีพีในปี 2012 และสร้างงานเพียง 36% จากการจ้างงานทั้งหมดในจีน ซึ่งต่ำกว่าในหลายๆประเทศ
"ดังนั้น จึงเป็นภารกิจที่มีความสำคัญสำหรับจีนที่จะเร่งการพัฒนาภาคบริการ" นายหลี่กล่าว
ขณะเดียวกัน ไอเอ็มเอฟยังระบุว่า อัตราเงินเฟ้อในจีนอาจจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3% ภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่คาดว่ายอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะมีสัดส่วนเท่ากับ 2.5% ของจีดีพีในปีนี้ เทียบกับ 2.6% ในปีที่แล้ว
ไอเอ็มเอฟยังระบุว่า ค่าเงินหยวน "มีมูลค่าต่ำเกินจริงในระดับปานกลาง" เมื่อเทียบกับตะกร้าเงิน
(ข่าวจากสำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak