คงต้องยอมรับว่า ในอดีตแนวคิดเรื่องการบริหารจัดการเรื่องเงินๆทองๆดูจะไม่ค่อยได้รับความสนใจเหมือนในปัจจุบัน แต่หลังจาก Robert T Kiyosaki เขียนหนังสือชื่อ Rich Dad Poor Dad หรือ “พ่อรวยสอนลูก” ตีพิมพ์ออกมาจำหน่าย ได้เกิดปรากฏการณ์ยอดขายถล่มทลายทั่วโลก รวมทั้งในเมืองไทย และเป็นตัวปลุกให้ผู้คนเริ่มหันมาให้ความสนใจ ในเรื่องการพลิกแนวคิด เพื่อนำไปสู่การมีอิสรภาพทางการเงินมากขึ้น
สิ่งที่ คิโยซากิ นำเสนอนั้น โดยพื้นฐานส่วนใหญ่ก็คือ แนวคิดในการบริหารการเงินส่วนบุคคลตามตำราทั่วไป แต่ที่เหนือชั้นคือกลวิธีในการนำเสนอที่น่าสนใจ โดยเปรียบเทียบให้เห็นระบบคิดที่แตกต่างกันระหว่าง คนจน กับ คนรวย ที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของความมั่งคั่งในชีวิต
แนวคิดของการทลาย และสลัดให้พ้นจากข้อจำกัดที่คนธรรมดาส่วนใหญ่มักจะขีดกรอบให้กับตัวเองนั้น ได้กลายเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญที่ บรรดาธุรกิจเครือข่ายขายตรงประเภท MLM - Multi Level Marketing นำไปใช้ในการกระตุ้นให้ ผู้คนที่รักอิสระทั้งหลายหันเข้าสู่เส้นทางของการเป็นนักขาย
ในห้วงเวลาใกล้เคียงกัน มีการนำนิทานเปรียบเทียบ “คนจนกับคนรวย” ใน You Tube มาส่งต่อๆกันผ่านอีเมลล์ ที่นำเสนอแง่มุมที่คล้ายคลึงกัน
ณ หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง มีชายหนุ่ม 2 คนชื่อ “ปาโปล”และ “บรูโน่” ชายหนุ่มทั้งสองเป็นเพื่อนรักกันและอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ทั้งคู่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม และใฝ่ฝันจะมีชีวิตที่พร้อมสมบูรณ์
พวกเขามักคุยกันถึงความฝันของแต่ละคนอยู่เสมอ และทั้งคู่ก็เฝ้ามองหาโอกาสที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่จะช่วยให้ความฝันเป็นจริง
วันหนึ่งโอกาสนั้นก็มาถึง ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านคนหนึ่ง ต้องการนำน้ำจากแหล่งน้ำบนภูเขามาขายให้กับคนในหมู่บ้าน และว่าจ้างให้ทั้งคู่ในการตักน้ำจากแหล่งน้ำหาบลงมาใส่ยัง “แทงก์” เก็บน้ำ โดยค่าจ้างที่พวกเขาจะได้รับขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่เขาขนลงมา
ทุกๆวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทั้งคู่ต้องทำงานอย่างหนัก ในการหาบน้ำไป-กลับเที่ยวแล้วเที่ยวเล่าอยู่อย่างนั้น เพื่อแลกกับค่าจ้างในแต่ละวัน
บรูโน่ ซึ่งเป็นคนร่างกายกำยำ รู้สึกพอใจกับงานที่เขาทำ เมื่อเทียบกับค่าจ้างที่ได้รับ จนทำให้เขาแน่ใจว่าความฝันของเขากำลังจะกลายเป็นจริง
บรูโน่คิดว่าเขาสามารถที่จะขนน้ำได้มากขึ้นหากเขาใช้ถังที่ใหญ่ขึ้น แลกกับค่าจ้างที่จะเพิ่มขึ้น เพื่อนำเงินที่ได้ไปซื้อวัว และซื้อบ้านอย่างที่เขาหวังไว้ได้
ตรงกันข้ามกับ ปาโปล ที่ไม่ได้พอใจในงานที่ตัวเองทำ เพราะทุกวันหลังเลิกงาน เขารู้สึกหมดเรี่ยวแรง
ในที่สุด ปาโปล พบหนทางที่ง่ายกว่าที่จะช่วยให้เขาได้เงินมากขึ้น และมีอิสระไม่ต้องเป็นลูกจ้างอีกต่อไป เมื่อเขาคิดถึง การลำเลียงน้ำลงมาจากภูเขาผ่าน “ท่อส่งน้ำ” เขาตื่นเต้นมากกับความคิดนี้และเริ่มวางแผน พร้อมกับไปชวนบรูโน่ให้สร้างท่อส่งน้ำร่วมกับเขาแต่บรูโน่กลับไม่เห็นด้วย
ปาโปลตัดสินใจลงทุนสร้างท่อส่งน้ำด้วยตัวเอง ถึงแม้รู้ดีว่ามันไม่ได้ง่ายเลย และต้องใช้เวลาหลายปีกว่าท่อส่งน้ำจะเสร็จสมบูรณ์ ทุกๆวันเขาก็ยังคงไปทำงานและยังหาบน้ำเหมือนเมื่อก่อน แต่เมื่อมีเวลา เขาก็จะขุดหิน ขุดดินเพื่อที่จะสร้างท่อส่งน้ำของเขา
ในช่วงแรกแทบจะไม่เห็นอะไรเลยจากผลงานที่เขาทำ บรูโน่และชาวบ้านทั้งหลายพากันเยาะเย้ยปาโปล และล้อปาโปลว่าเป็น “มนุษย์ท่อ”
ระหว่างนั้น บรูโน่มีรายได้เพิ่มเป็นสองเท่า มีชีวิตอย่างที่เขาวาดฝันไว้ แต่เพื่อชดเชยกับการทำงานหนัก บรูโน่ ปลดปล่อยตัวเองโดยการใช้เวลาหลังเลิกงานในร้านขายเหล้า โดยไม่ได้ตระหนักว่า ร่างกายของเขาเริ่มทรุดโทรมจากงานหนัก และการใช้ชีวิตอย่างไม่ระวัง ทำให้เขาเริ่มทำงานได้น้อยลงๆ ซึ่งเป็นผลมาจากร่างกายที่อ่อนล้าและสิ้นแรง
เมื่อก้าวสู่ปีที่สอง ปาโปล สามารถสร้างท่อส่งน้ำสำเร็จ ทำให้เขาได้เงินมากขึ้นจากการขายน้ำให้คนในหมู่บ้าน โดยไม่ต้องเป็นแค่ “ลูกจ้าง” อีกต่อไป และรายได้ของเขาก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย และต่อเนื่อง ตราบเท่าที่น้ำยังคงไหลผ่านท่อส่งน้ำของเขา
เรื่องราวของ “บรูโน่”กับ “ปาโปล” ไม่ต่างอะไรกับ เรื่องจริงในชีวิตของเรา เมื่อต้องการรายได้มากขึ้นเราต้องยอมทำงานหนักขึ้น เช่นการทำงานล่วงเวลา หรือการหางานที่สองมาทำ คนส่วนใหญ่ใช้เวลาเพื่อแลกเงินเช่นเดียวกับที่บรูโน่ทำ
เราต่างก็รู้ดีว่า เราแต่ละคนต่างก็มีเวลา 24 ชั่วโมงในแต่ละวันเท่ากัน และเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะนำเวลาทั้ง 24 ชั่วโมง มาทำงานแลกเงินเพียงอย่างเดียว ช่วงเวลาที่ยากที่สุดจะผ่านเข้ามาจนเราไม่สามารถใช้เวลาแลกเงินได้อีกต่อไป อาจจะเป็นที่อายุที่มากขึ้น หรือสุขภาพ หรือเหตุผลอื่นๆ และเมื่อเป็นเช่นนั้นรายได้ของเราก็จะหยุดลง
ตรงกันข้ามกับ ปาโปล เขารู้ว่าสักวันหนึ่ง ปัจจัยทางด้านอายุและสุขภาพจะทำให้เขาไม่สามารถใช้เวลาที่เขามีแลกกับเงินได้อีกต่อไป แต่ถ้าเขาสามารถทำให้แนวคิดเรื่องท่อส่งน้ำของเขาเป็นผลขึ้นมาได้ เขาก็เพียงลงมือทำงานหนักเพียงครั้งเดียว หลังจากที่เขาสร้างท่อส่งน้ำของเขาเสร็จ รายได้ก็จะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ตราบที่ยังมีน้ำไหลผ่านท่อเข้ามา
นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า หากเราต้องการเป็นคนไม่ธรรมดา สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่ ความกล้าหาญ ในการทำลายข้อจำกัดทางความคิดที่ขีดกรอบของเราเอาไว้ให้เป็นเหมือนคนธรรมดาคนอื่นๆ เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง พยายามมองหาโอกาส และที่สำคัญคือ อดทนมุ่งมั่นในการเดินไปในเส้นทางของการเปลี่ยนแปลง
สิ่งที่ คิโยซากิ นำเสนอนั้น โดยพื้นฐานส่วนใหญ่ก็คือ แนวคิดในการบริหารการเงินส่วนบุคคลตามตำราทั่วไป แต่ที่เหนือชั้นคือกลวิธีในการนำเสนอที่น่าสนใจ โดยเปรียบเทียบให้เห็นระบบคิดที่แตกต่างกันระหว่าง คนจน กับ คนรวย ที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของความมั่งคั่งในชีวิต
แนวคิดของการทลาย และสลัดให้พ้นจากข้อจำกัดที่คนธรรมดาส่วนใหญ่มักจะขีดกรอบให้กับตัวเองนั้น ได้กลายเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญที่ บรรดาธุรกิจเครือข่ายขายตรงประเภท MLM - Multi Level Marketing นำไปใช้ในการกระตุ้นให้ ผู้คนที่รักอิสระทั้งหลายหันเข้าสู่เส้นทางของการเป็นนักขาย
ในห้วงเวลาใกล้เคียงกัน มีการนำนิทานเปรียบเทียบ “คนจนกับคนรวย” ใน You Tube มาส่งต่อๆกันผ่านอีเมลล์ ที่นำเสนอแง่มุมที่คล้ายคลึงกัน
ณ หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง มีชายหนุ่ม 2 คนชื่อ “ปาโปล”และ “บรูโน่” ชายหนุ่มทั้งสองเป็นเพื่อนรักกันและอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ทั้งคู่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม และใฝ่ฝันจะมีชีวิตที่พร้อมสมบูรณ์
พวกเขามักคุยกันถึงความฝันของแต่ละคนอยู่เสมอ และทั้งคู่ก็เฝ้ามองหาโอกาสที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่จะช่วยให้ความฝันเป็นจริง
วันหนึ่งโอกาสนั้นก็มาถึง ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านคนหนึ่ง ต้องการนำน้ำจากแหล่งน้ำบนภูเขามาขายให้กับคนในหมู่บ้าน และว่าจ้างให้ทั้งคู่ในการตักน้ำจากแหล่งน้ำหาบลงมาใส่ยัง “แทงก์” เก็บน้ำ โดยค่าจ้างที่พวกเขาจะได้รับขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่เขาขนลงมา
ทุกๆวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทั้งคู่ต้องทำงานอย่างหนัก ในการหาบน้ำไป-กลับเที่ยวแล้วเที่ยวเล่าอยู่อย่างนั้น เพื่อแลกกับค่าจ้างในแต่ละวัน
บรูโน่ ซึ่งเป็นคนร่างกายกำยำ รู้สึกพอใจกับงานที่เขาทำ เมื่อเทียบกับค่าจ้างที่ได้รับ จนทำให้เขาแน่ใจว่าความฝันของเขากำลังจะกลายเป็นจริง
บรูโน่คิดว่าเขาสามารถที่จะขนน้ำได้มากขึ้นหากเขาใช้ถังที่ใหญ่ขึ้น แลกกับค่าจ้างที่จะเพิ่มขึ้น เพื่อนำเงินที่ได้ไปซื้อวัว และซื้อบ้านอย่างที่เขาหวังไว้ได้
ตรงกันข้ามกับ ปาโปล ที่ไม่ได้พอใจในงานที่ตัวเองทำ เพราะทุกวันหลังเลิกงาน เขารู้สึกหมดเรี่ยวแรง
ในที่สุด ปาโปล พบหนทางที่ง่ายกว่าที่จะช่วยให้เขาได้เงินมากขึ้น และมีอิสระไม่ต้องเป็นลูกจ้างอีกต่อไป เมื่อเขาคิดถึง การลำเลียงน้ำลงมาจากภูเขาผ่าน “ท่อส่งน้ำ” เขาตื่นเต้นมากกับความคิดนี้และเริ่มวางแผน พร้อมกับไปชวนบรูโน่ให้สร้างท่อส่งน้ำร่วมกับเขาแต่บรูโน่กลับไม่เห็นด้วย
ปาโปลตัดสินใจลงทุนสร้างท่อส่งน้ำด้วยตัวเอง ถึงแม้รู้ดีว่ามันไม่ได้ง่ายเลย และต้องใช้เวลาหลายปีกว่าท่อส่งน้ำจะเสร็จสมบูรณ์ ทุกๆวันเขาก็ยังคงไปทำงานและยังหาบน้ำเหมือนเมื่อก่อน แต่เมื่อมีเวลา เขาก็จะขุดหิน ขุดดินเพื่อที่จะสร้างท่อส่งน้ำของเขา
ในช่วงแรกแทบจะไม่เห็นอะไรเลยจากผลงานที่เขาทำ บรูโน่และชาวบ้านทั้งหลายพากันเยาะเย้ยปาโปล และล้อปาโปลว่าเป็น “มนุษย์ท่อ”
ระหว่างนั้น บรูโน่มีรายได้เพิ่มเป็นสองเท่า มีชีวิตอย่างที่เขาวาดฝันไว้ แต่เพื่อชดเชยกับการทำงานหนัก บรูโน่ ปลดปล่อยตัวเองโดยการใช้เวลาหลังเลิกงานในร้านขายเหล้า โดยไม่ได้ตระหนักว่า ร่างกายของเขาเริ่มทรุดโทรมจากงานหนัก และการใช้ชีวิตอย่างไม่ระวัง ทำให้เขาเริ่มทำงานได้น้อยลงๆ ซึ่งเป็นผลมาจากร่างกายที่อ่อนล้าและสิ้นแรง
เมื่อก้าวสู่ปีที่สอง ปาโปล สามารถสร้างท่อส่งน้ำสำเร็จ ทำให้เขาได้เงินมากขึ้นจากการขายน้ำให้คนในหมู่บ้าน โดยไม่ต้องเป็นแค่ “ลูกจ้าง” อีกต่อไป และรายได้ของเขาก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย และต่อเนื่อง ตราบเท่าที่น้ำยังคงไหลผ่านท่อส่งน้ำของเขา
เรื่องราวของ “บรูโน่”กับ “ปาโปล” ไม่ต่างอะไรกับ เรื่องจริงในชีวิตของเรา เมื่อต้องการรายได้มากขึ้นเราต้องยอมทำงานหนักขึ้น เช่นการทำงานล่วงเวลา หรือการหางานที่สองมาทำ คนส่วนใหญ่ใช้เวลาเพื่อแลกเงินเช่นเดียวกับที่บรูโน่ทำ
เราต่างก็รู้ดีว่า เราแต่ละคนต่างก็มีเวลา 24 ชั่วโมงในแต่ละวันเท่ากัน และเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะนำเวลาทั้ง 24 ชั่วโมง มาทำงานแลกเงินเพียงอย่างเดียว ช่วงเวลาที่ยากที่สุดจะผ่านเข้ามาจนเราไม่สามารถใช้เวลาแลกเงินได้อีกต่อไป อาจจะเป็นที่อายุที่มากขึ้น หรือสุขภาพ หรือเหตุผลอื่นๆ และเมื่อเป็นเช่นนั้นรายได้ของเราก็จะหยุดลง
ตรงกันข้ามกับ ปาโปล เขารู้ว่าสักวันหนึ่ง ปัจจัยทางด้านอายุและสุขภาพจะทำให้เขาไม่สามารถใช้เวลาที่เขามีแลกกับเงินได้อีกต่อไป แต่ถ้าเขาสามารถทำให้แนวคิดเรื่องท่อส่งน้ำของเขาเป็นผลขึ้นมาได้ เขาก็เพียงลงมือทำงานหนักเพียงครั้งเดียว หลังจากที่เขาสร้างท่อส่งน้ำของเขาเสร็จ รายได้ก็จะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ตราบที่ยังมีน้ำไหลผ่านท่อเข้ามา
นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า หากเราต้องการเป็นคนไม่ธรรมดา สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่ ความกล้าหาญ ในการทำลายข้อจำกัดทางความคิดที่ขีดกรอบของเราเอาไว้ให้เป็นเหมือนคนธรรมดาคนอื่นๆ เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง พยายามมองหาโอกาส และที่สำคัญคือ อดทนมุ่งมั่นในการเดินไปในเส้นทางของการเปลี่ยนแปลง