นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อกองทุนไทยในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบกว่า 5 ปี โดยได้รับแรงกระตุ้นจากอัตราผลตอบแทนที่ระดับสูง ซึ่งเป็นผลมาจากการพุ่งขึ้นของค่าเงินบาท และสิ่งนี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยสามารถพุ่งขึ้นได้ต่อไป หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยครองตำแหน่งตลาดหุ้นที่พุ่งขึ้นมากที่สุดใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีที่แล้ว
บริษัทลิปเปอร์ในเครือธอมสัน รอยเตอร์รายงานว่า กองทุนต่างประเทศที่เน้นการลงทุนในหุ้นไทยดึงดูดเงินลงทุนได้ 550 ล้านดอลลาร์ ใน เดือนก.พ. ซึ่งถือเป็นปริมาณเงินไหลเข้าสุทธิที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2550 เป็นต้นมา
ทางด้านบริษัท EPFR รายงานว่า กระแสเงินไหลเข้ายังคงดำเนินต่อไปในเดือนนี้ โดยกองทุนหุ้นไทยดึงดูดเงินลงทุนสุทธิได้ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุด วันพุธที่ 20 มี.ค.
สกุลเงินบาทของไทยพุ่งขึ้นในสัปดาห์ที่แล้วจนแตะจุดสูงสุดเมื่อเทียบกับดอลลาร์นับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินในปี 2540 เป็นต้นมา โดยมีสัญญาณบ่งชี้ว่าบาทจะปรับขึ้นต่อไป โดยได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในไทย ทั้งนี้ ปัจจัยนี้จะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติได้รับผลประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เมื่อนักลงทุนต่างชาติแปลงผลกำไรที่ตนเองได้รับจากตลาดหุ้นไทยกลับมาเป็นดอลลาร์
นายอติเทพ วรรณพฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุน(ประเทศไทย) ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน กล่าวว่า"ตลาดปรับตัวดีในช่วงที่ผ่านมา และนักลงทุนก็ตระหนักถึงศักยภาพของสิ่งที่อยู่ที่นี่ และตระหนักถึงบริษัทที่ดีที่สามารถเลือกซื้อได้ที่นี่"
ทั้งนี้ นายอติเทพเป็นผู้ดูแลกองทุนไทยที่มีผลกำไรที่ดีที่สุด โดยให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า 1,300% ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นไทยเพิ่งปรับฐานลงอย่างรุนแรงในสัปดาห์ที่แล้ว โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยดิ่งลง 7.5% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 4 ปี
อย่างไรก็ดี ความสนใจลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติจะช่วยให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โดยตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว 4% ในช่วงสองวันแรกของสัปดาห์นี้
ลิปเปอร์รายงานว่า กองทุนหุ้นแห่งหนึ่งที่บริหารโดยบริษัทไดวา แอสเซท แมเนจเมนท์ของญี่ปุ่นดึงดูดเงินลงทุนได้เกือบ 300 ล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ.ซึ่งถือเป็นปริมาณเงินลงทุนไหลเข้าที่สูงที่สุดสำหรับกองทุนหุ้นไทยในรอบเกือบ6 ปี ในขณะที่นักลงทุนญี่ปุ่นให้ความสนใจกับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่พุ่งขึ้น 36%ในปีที่แล้ว และทะยานขึ้นมาแล้ว 11% จากช่วงต้นปีนี้
เศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีขนาด 2 ล้านล้านดอลลาร์ และเศรษฐกิจไทยก็ได้รับประโยชน์จากความน่าดึงดูดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติแสวงหาตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง เพื่อทดแทนตลาดจีนและอินเดียที่ชะลอตัวลง
คาดกันว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงกระตุ้นให้เติบโตต่อไป โดยปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจเหล่านี้รวมถึงเสถียรภาพทางการเมือง, นโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการบริโภค อย่างเช่นนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และนโยบายปรับลดภาษีนิติบุคคลและภาษีเงินได้ส่วนบุคคล รวมถึงร่างกฎหมายที่คณะรัฐมนตรีไทยอนุมัติในสัปดาห์ที่แล้วเพื่อใช้กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทสำหรับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว
ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนช่วยให้ไทยกลายเป็นจุดหมายที่นักลงทุนต่างชาติต้องการเข้ามาลงทุนเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในขณะที่กองทุนต่างชาติที่เน้นลงทุนในหุ้นอินโดนีเซียและมาเลเซียมียอดเงินไหลออก 477 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ กองทุนหุ้นไทยกลับดึงดูดเงินลงทุนได้ 929 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งสูงเกือบเป็น 3 เท่าของยอดเงินลงทุนไหลเข้าทั้งหมดในปีที่แล้ว
ไทยสามารถดึงดูดนักลงทุนในกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ได้ด้วยโดยนายมาร์ค โมเบียส นักลงทุนในตลาดเกิดใหม่ได้ลงทุนในไทยในปริมาณเงินที่สูงกว่า 1 ใน 4 ของกองทุน Templeton Asian Growth ของเขา โดยกองทุนแห่งนี้มีขนาด 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในภูมิภาคนี้
อย่างไรก็ดี ดัชนี MSCI AC สำหรับหุ้นเอเชียยกเว้นญี่ปุ่นให้น้ำหนักหุ้นไทยเพียงแค่ 3.6% ของดัชนีเท่านั้น ทั้งนี้ ลิปเปอร์รายงานว่า ในบรรดากองทุนที่ใหญ่ที่สุด 10 แห่งที่ลงทุนในเอเชียยกเว้นญี่ปุ่นนั้น กองทุน 7 แห่งในจำนวนนี้จัดสรรเงินลงทุนในไทยไว้ในสัดส่วนที่สูงกว่าน้ำหนักในดัชนี MSCI
ความสนใจที่มีต่อไทยในช่วงนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเท่านั้น โดยข้อมูลจากธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส์และรัฐบาลอินโดนีเซียระบุว่า ตราสารหนี้ไทยสามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติได้สูงเกือบถึง 8 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่า 4 เท่าของปริมาณเงินที่ไหลเข้าสู่ตราสารหนี้อินโดนีเซีย
บาทแข็งค่าขึ้นมาแล้วราว 4% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในปีนี้ และบาทกำลังไล่ตามสกุลเงินอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พุ่งขึ้นในปีที่แล้ว โดยการแข็งค่าของบาทส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติได้รับผลกำไรมากยิ่งขึ้น
ลิปเปอร์รายงานว่า นักลงทุนในกองทุนต่างชาติโดยเฉลี่ยได้รับผลตอบแทนสูงกว่านักลงทุนในไทยราว 126% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
กองทุน Aberdeen New Thai Inv Tst ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 1,200% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่กองทุนหุ้นไทยที่ตั้งอยู่ในไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 535% ทั้งนี้ สิ่งนี้หมายความว่า เงิน 1,000 ดอลลาร์ที่ลงทุนในกองทุนของอเบอร์ดีนเมื่อสิบปีก่อน จะมีขนาดราว 13,000 ดอลลาร์ในปัจุบัน ในขณะที่เงินที่ลงทุนในกองทุนหุ้นภายในประเทศไทยจะมีขนาดราว 6,350 ดอลลาร์ในปัจจุบัน
กองทุนหุ้นภายในประเทศไทยที่ให้อัตราผลตอบแทนที่ดีที่สุดคือ กองทุนเปิดบัวหลวงทศพล ซึ่งให้ผลตอบแทน 1,000%
นายราโนเทพ รอย ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์อาร์วี แคปิตัล แมเนจเมนท์กล่าวว่า "สัญญาณทุกตัวบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่ดีสำหรับบาท"
"บาทมีศักยภาพในการพุ่งขึ้นต่อไป โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังน้ำท่วมใหญ่, กระแสเงินลงทุนทางตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ระดับสูง, มูลค่าหุ้นที่ระดับต่ำ และราคาตราสารหนี้ที่ระดับต่ำหลังจากมีการเทขายออกมา" นายรอยกล่าว
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าบาทจะแข็งค่าต่อไปคือการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่มีนโยบายเข้ามาแทรกแซงค่าเงินบาทซึ่งสิ่งนี้สวนทางกับผู้กำหนดนโยบายของประเทศอื่นๆในเอเชียที่พยายามสกัดกั้นการแข็งค่าของสกุลเงินในประเทศของตน
หุ้นไทยยังคงมีมูลค่าถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยหุ้นไทยมีราคาอยู่ที่13.7 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรล่วงหน้า 12 เดือน ซึ่งต่ำกว่าระดับ 14.7 เท่าในอินโดนีเซีย และ 16.8 เท่าในฟิลิปปินส์
อย่างไรก็ดี นักลงทุนบางรายเริ่มใช้ความระมัดระวังทางการลงทุน หลังจากตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา
(ข่าวจาก สำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak
บริษัทลิปเปอร์ในเครือธอมสัน รอยเตอร์รายงานว่า กองทุนต่างประเทศที่เน้นการลงทุนในหุ้นไทยดึงดูดเงินลงทุนได้ 550 ล้านดอลลาร์ ใน เดือนก.พ. ซึ่งถือเป็นปริมาณเงินไหลเข้าสุทธิที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2550 เป็นต้นมา
ทางด้านบริษัท EPFR รายงานว่า กระแสเงินไหลเข้ายังคงดำเนินต่อไปในเดือนนี้ โดยกองทุนหุ้นไทยดึงดูดเงินลงทุนสุทธิได้ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุด วันพุธที่ 20 มี.ค.
สกุลเงินบาทของไทยพุ่งขึ้นในสัปดาห์ที่แล้วจนแตะจุดสูงสุดเมื่อเทียบกับดอลลาร์นับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินในปี 2540 เป็นต้นมา โดยมีสัญญาณบ่งชี้ว่าบาทจะปรับขึ้นต่อไป โดยได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในไทย ทั้งนี้ ปัจจัยนี้จะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติได้รับผลประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เมื่อนักลงทุนต่างชาติแปลงผลกำไรที่ตนเองได้รับจากตลาดหุ้นไทยกลับมาเป็นดอลลาร์
นายอติเทพ วรรณพฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุน(ประเทศไทย) ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อเบอร์ดีน กล่าวว่า"ตลาดปรับตัวดีในช่วงที่ผ่านมา และนักลงทุนก็ตระหนักถึงศักยภาพของสิ่งที่อยู่ที่นี่ และตระหนักถึงบริษัทที่ดีที่สามารถเลือกซื้อได้ที่นี่"
ทั้งนี้ นายอติเทพเป็นผู้ดูแลกองทุนไทยที่มีผลกำไรที่ดีที่สุด โดยให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่า 1,300% ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นไทยเพิ่งปรับฐานลงอย่างรุนแรงในสัปดาห์ที่แล้ว โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยดิ่งลง 7.5% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการดิ่งลงรายสัปดาห์ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 4 ปี
อย่างไรก็ดี ความสนใจลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติจะช่วยให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โดยตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว 4% ในช่วงสองวันแรกของสัปดาห์นี้
ลิปเปอร์รายงานว่า กองทุนหุ้นแห่งหนึ่งที่บริหารโดยบริษัทไดวา แอสเซท แมเนจเมนท์ของญี่ปุ่นดึงดูดเงินลงทุนได้เกือบ 300 ล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ.ซึ่งถือเป็นปริมาณเงินลงทุนไหลเข้าที่สูงที่สุดสำหรับกองทุนหุ้นไทยในรอบเกือบ6 ปี ในขณะที่นักลงทุนญี่ปุ่นให้ความสนใจกับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่พุ่งขึ้น 36%ในปีที่แล้ว และทะยานขึ้นมาแล้ว 11% จากช่วงต้นปีนี้
เศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีขนาด 2 ล้านล้านดอลลาร์ และเศรษฐกิจไทยก็ได้รับประโยชน์จากความน่าดึงดูดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติแสวงหาตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง เพื่อทดแทนตลาดจีนและอินเดียที่ชะลอตัวลง
คาดกันว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงกระตุ้นให้เติบโตต่อไป โดยปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจเหล่านี้รวมถึงเสถียรภาพทางการเมือง, นโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการบริโภค อย่างเช่นนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และนโยบายปรับลดภาษีนิติบุคคลและภาษีเงินได้ส่วนบุคคล รวมถึงร่างกฎหมายที่คณะรัฐมนตรีไทยอนุมัติในสัปดาห์ที่แล้วเพื่อใช้กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทสำหรับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว
ปัจจัยเหล่านี้มีส่วนช่วยให้ไทยกลายเป็นจุดหมายที่นักลงทุนต่างชาติต้องการเข้ามาลงทุนเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในขณะที่กองทุนต่างชาติที่เน้นลงทุนในหุ้นอินโดนีเซียและมาเลเซียมียอดเงินไหลออก 477 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ กองทุนหุ้นไทยกลับดึงดูดเงินลงทุนได้ 929 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ ซึ่งสูงเกือบเป็น 3 เท่าของยอดเงินลงทุนไหลเข้าทั้งหมดในปีที่แล้ว
ไทยสามารถดึงดูดนักลงทุนในกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ได้ด้วยโดยนายมาร์ค โมเบียส นักลงทุนในตลาดเกิดใหม่ได้ลงทุนในไทยในปริมาณเงินที่สูงกว่า 1 ใน 4 ของกองทุน Templeton Asian Growth ของเขา โดยกองทุนแห่งนี้มีขนาด 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในภูมิภาคนี้
อย่างไรก็ดี ดัชนี MSCI AC สำหรับหุ้นเอเชียยกเว้นญี่ปุ่นให้น้ำหนักหุ้นไทยเพียงแค่ 3.6% ของดัชนีเท่านั้น ทั้งนี้ ลิปเปอร์รายงานว่า ในบรรดากองทุนที่ใหญ่ที่สุด 10 แห่งที่ลงทุนในเอเชียยกเว้นญี่ปุ่นนั้น กองทุน 7 แห่งในจำนวนนี้จัดสรรเงินลงทุนในไทยไว้ในสัดส่วนที่สูงกว่าน้ำหนักในดัชนี MSCI
ความสนใจที่มีต่อไทยในช่วงนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเท่านั้น โดยข้อมูลจากธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส์และรัฐบาลอินโดนีเซียระบุว่า ตราสารหนี้ไทยสามารถดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติได้สูงเกือบถึง 8 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่า 4 เท่าของปริมาณเงินที่ไหลเข้าสู่ตราสารหนี้อินโดนีเซีย
บาทแข็งค่าขึ้นมาแล้วราว 4% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ในปีนี้ และบาทกำลังไล่ตามสกุลเงินอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พุ่งขึ้นในปีที่แล้ว โดยการแข็งค่าของบาทส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติได้รับผลกำไรมากยิ่งขึ้น
ลิปเปอร์รายงานว่า นักลงทุนในกองทุนต่างชาติโดยเฉลี่ยได้รับผลตอบแทนสูงกว่านักลงทุนในไทยราว 126% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
กองทุน Aberdeen New Thai Inv Tst ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 1,200% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่กองทุนหุ้นไทยที่ตั้งอยู่ในไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 535% ทั้งนี้ สิ่งนี้หมายความว่า เงิน 1,000 ดอลลาร์ที่ลงทุนในกองทุนของอเบอร์ดีนเมื่อสิบปีก่อน จะมีขนาดราว 13,000 ดอลลาร์ในปัจุบัน ในขณะที่เงินที่ลงทุนในกองทุนหุ้นภายในประเทศไทยจะมีขนาดราว 6,350 ดอลลาร์ในปัจจุบัน
กองทุนหุ้นภายในประเทศไทยที่ให้อัตราผลตอบแทนที่ดีที่สุดคือ กองทุนเปิดบัวหลวงทศพล ซึ่งให้ผลตอบแทน 1,000%
นายราโนเทพ รอย ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์อาร์วี แคปิตัล แมเนจเมนท์กล่าวว่า "สัญญาณทุกตัวบ่งชี้ถึงแนวโน้มที่ดีสำหรับบาท"
"บาทมีศักยภาพในการพุ่งขึ้นต่อไป โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังน้ำท่วมใหญ่, กระแสเงินลงทุนทางตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ระดับสูง, มูลค่าหุ้นที่ระดับต่ำ และราคาตราสารหนี้ที่ระดับต่ำหลังจากมีการเทขายออกมา" นายรอยกล่าว
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าบาทจะแข็งค่าต่อไปคือการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่มีนโยบายเข้ามาแทรกแซงค่าเงินบาทซึ่งสิ่งนี้สวนทางกับผู้กำหนดนโยบายของประเทศอื่นๆในเอเชียที่พยายามสกัดกั้นการแข็งค่าของสกุลเงินในประเทศของตน
หุ้นไทยยังคงมีมูลค่าถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยหุ้นไทยมีราคาอยู่ที่13.7 เท่าของคาดการณ์ผลกำไรล่วงหน้า 12 เดือน ซึ่งต่ำกว่าระดับ 14.7 เท่าในอินโดนีเซีย และ 16.8 เท่าในฟิลิปปินส์
อย่างไรก็ดี นักลงทุนบางรายเริ่มใช้ความระมัดระวังทางการลงทุน หลังจากตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา
(ข่าวจาก สำนักข่าว รอยเตอร์)
T.Thammasak