xs
xsm
sm
md
lg

“สมูทอี” ปรับลุคเจาะ e-Gen อัดงบพิเศษเพิ่ม 240 ล้านใน 10 ปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ (ซ้าย) และ เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล (ขวา) กรรมการผู้บริหาร บริษัท สมูทอี จำกัด
“สมูทอี” ปรับกลยุทธ์รุกตลาดสกินแคร์ ทุ่มงบพิเศษ 240 ล้านบาท ดึงซูเปอร์สตาร์อมตะ “เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์” เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ตั้งเป้าปี 56 โตขึ้นแค่ 10% จากเดิมที่อยู่ในระดับ 20% เหตุต้องการสร้างประโยชน์ให้สังคมมากกว่ายอดรวมรายได้

เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้บริหาร บริษัท สมูทอี จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2556 บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานเข้าสู่การตลาด 3.0 พร้อมปรับภาพลักษณ์ (Re Image) ของผลิตภัณฑ์ “สมูทอี” จากผลิตภัณฑ์เวชสำอางดูแลรักษาผิวหน้าจากวิตามิน E เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับคนรุ่นใหม่ยุค e Generation ในช่วงกลุ่มอายุ 15-35 ปี ภายใต้แคมเปญ “Smooth Teens Challenges” โดยมุ่งหวังให้เด็กและเยาวชนรุ่นใหม่มีความฉลาดทางอารมณ์ หรือ E.Q. โดยดึง “เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์” เข้าร่วมเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์

สมูทอีทำตลาดผลิตภัณฑ์เวชสำอางดูแลรักษาผิวมาตั้งแต่ปี 2535 ใช้กลยุทธ์การตลาด 1.0 เน้นตัวผลิตภัณฑ์และลูกค้าจนถึงปี 2545 จากนั้นในช่วงปี 2545-2555 บริษัทฯ ได้ทำการตลาด 2.0 เพื่อเน้นการสร้างแบรนด์ ควบคู่ไปกับผลิตภัณฑ์และลูกค้า ทำให้ปี 2555-2565 บริษัทจึงเดินหน้าการตลาด 3.0 เพื่อสร้างประโยชน์ให้สังคมซึ่งใช้งบประมาณการตลาดพิเศษเพิ่มเติมเดือนละ 1 ล้านบาท รวมเป็นเงินจำนวน 240 ล้านบาท

“เราต้องการสร้างเด็กยุค e-Generation ให้มีพัฒนาการทางด้านอารมณ์ หรือ EQ และให้ความสำคัญกับความรู้สึกของวัยรุ่น พร้อมทั้งช่วยแก้ปัญหาและหาทางออก พร้อมนำทางวัยรุ่นเหล่านั้นให้เดินไปในทางที่ถูกและเหมาะสม จึงเป็นที่มาของการนำ เบิร์ด ธงไชย มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ เนื่องจากถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้วัยรุ่นปฏิบัติตามทั้งการพูดดี คิดดี ทำดี รวมไปถึงวิถีการทำงาน การดำเนินชีวิต และไลฟ์สไตล์ต่างๆ”

สำหรับภาพรวมของผลิตภัณฑ์เวชสำอางดูแลรักษาผิวในปีที่ 2555 เติบโต 10.8% จากตลาดเพอร์ซันนัลแคร์ซึ่งคาดว่าน่าจะมีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท ขณะที่ตลาดสกินแคร์มีมูลค่าประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 8-12% สมูทอีมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 15% โดยในปี 2554-2555 เติบโตขึ้นปีละ 20% ส่วนปี 2556 ใช้งบประมาณการตลาดในทุกผลิตภัณฑ์ประมาณ 350 ล้านบาท โดยคาดว่าในส่วนของสมูทอีจะเติบโตประมาณ 10%  เพื่อหันมาเน้นการสร้างประโยชน์ให้กับสังคมมากขึ้นมากกว่ารายได้

“ผมตัดสินใจใช้กลยุทธ์การตลาด 3.0 เพราะเชื่อว่าแบรนด์สมูทอีมีความแข็งแกร่งแล้ว จึงต้องการคืนกำไรสู่สังคมและอยากเป็นตัวอย่างให้ผู้ประกอบการในทุกธุรกิจได้เริ่มนำไปใช้บ้าง นอกจากนี้ผมยังเชื่อว่าทุกกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้แคมเปญ Smooth Teens Challenges เป็นสิ่งที่สามารถทำได้จริง รวมทั้งจับต้องและวัดผลได้ ทั้งยังสามารถสร้างคุณค่าให้อยู่กับสังคมได้ยืนยาวมากกว่า โดยในเบื้องต้นเราได้กำหนดกิจกรรมหนึ่งคือการมอบทุนการศึกษาให้นักเรียน-นักศึกษาเป็นจำนวนเงิน 10,000 บาทต่อเดือนต่อคน จาก 78 จังหวัดทั่วประเทศ รวมเป็นจำนวนเงิน 7.8 แสนบาทต่อเดือน โดยคาดว่าภายใน 3 เดือนจะเริ่มทะยอยเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาเพื่อประชาสัมพันธ์แคมเปญนี้”


กำลังโหลดความคิดเห็น