xs
xsm
sm
md
lg

ชะตาธุรกิจ “หนังสือ” ต้อง “Beyond Book” ถึงรอด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วรพันธ์ โลกิตสถาพร
น่าตระหนกมิใช่น้อยในฉับพลันที่ “สำนักงานสถิติแห่งชาติ” เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการอ่านหนังสือของประชากรปี 2555 ว่า คนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไปใช้เวลาอ่านหนังสือน้อยลงจนเหลือเพียงวันละ 31 นาที!

ผลสำรวจดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเป็น “ข้อมูลเชิงลบ” ต่อความพยายามในการผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็น “เมืองหนังสือโลก” เท่านั้น แต่ในอีกมิติหนึ่งยังสื่อถึง “ความอยู่รอด” ของ “ธุรกิจหนังสือเล่ม” ด้วยว่าจะอยู่อย่างไรให้ “รุ่ง” และ “รอด” ในยุคเฟื่องฟูของเทคโนโลยีการสื่อสารด้านต่างๆ ที่เป็นอยู่ในขณะนี้

ภาพรวมของธุรกิจหนังสือเล่ม ถือเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา และบันเทิง แบ่งแยกได้เป็น 2 ส่วน คือ “แบบเรียน คู่มือ วิชาการ” ซึ่งถือว่ายังคงอยู่ในความต้องการของตลาด เนื่องจากลูกค้ามีปริมาณการสั่งซื้อและการใช้หนังสือหมวดนี้อย่างสม่ำเสมอ แต่มีอุปสรรคที่ไม่สามารถเพิ่มราคาต่อปกได้ เนื่องจากจำนวนการสั่งซื้อ หรือการใช้งานมีการขยายตัวไม่มากนัก ขณะเดียวกันหน่วยงานต้นสังกัดก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องงบประมาณการสั่งซื้อ

อีกส่วนหนึ่งคือ “หนังสือเล่ม” ซึ่งถือว่ามีปัญหาครอบคลุมรอบด้านตั้งแต่ต้นน้ำคือต้นทุนการผลิตจนถึงปลายน้ำคือการผลิต ดังที่ วรพันธ์ โลกิตสถาพร นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) อธิบายว่า การเพิ่มขึ้นของราคากระดาษในปีที่ผ่านมาที่ยังคงทะยอยขึ้นเป็นช่วงๆ รวมถึงค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นเป็น 300 บาทล้วนส่งผลกระทบต่อธุรกิจ โดยส่วนที่กระทบหนักที่สุดคือปลายน้ำ ตั้งแต่กระบวนการขนส่งไปยังร้านหนังสือ การจัดจำหน่ายและร้านหนังสือ ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เห็นแนวโน้มของการขึ้นราคาของหนังสือไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพื่อชดเชยต้นทุนแฝงต่างๆ และความอยู่รอดของทั้งกระบวนการ (Supply Chain)

“ปัจจัยสำคัญ คือ ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสินค้าอื่นนอกจากสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีวิตลดน้อยลง โดยเฉพาะการเลือกซื้อสินค้าเพื่อความบันเทิงมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น เช่น การเลือกซื้อหนังสือจากค่ายหนังสือที่โดดเด่นตรงใจเท่านั้น การซื้อต่อครั้งที่ลดลง รวมถึงการเลือกซื้อที่ใช้ระยะเวลายาวนานมากขึ้น ทำให้ทั้งสำนักพิมพ์และร้านหนังสือต้องทำการปรับตัวเองด้วยการผลิตสินค้าให้ตรงใจและขยายฐานจำนวนผู้อ่านให้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากไม่สามารถขึ้นราคาสินค้าได้มากนัก”

ตั้งเป้าปี 56 ตลาดโต ทะลุ 2.4 หมื่นล้าน

จากภาพรวมของธุรกิจหนังสือเล่มในปี 2555 พบว่ามีมูลค่าตลาดประมาณ 22,600 ล้านบาท หรือมีอัตราขยายตัวขึ้นเพียง 5-6 % สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯจึงตั้งเป้าหมายว่าในปี 2556 จะร่วมกับทุกภาคส่วนผลักดันให้ธุรกิจหนังสือเล่มกลับมาเติบโตอย่างต่อเนื่องประมาณ 7% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 24,200 ล้านบาท

สำหรับผู้ประกอบการในธุรกิจหนังสือเล่มสามารถจำแนกออกตามขนาดกลุ่มสำนักพิมพ์ คือ “กลุ่มผู้นำตลาด” หมายถึงสำนักพิมพ์ที่มีรายได้สำหรับธุรกิจหนังสือมากกว่า 315 ล้านบาทต่อปี มีส่วนแบ่งการตลาด 35.49% “กลุ่มสำนักพิมพ์ขนาดใหญ่” มีรายได้ตั้งแต่ 115 ล้านบาทขึ้นไปแต่ไม่ถึง 315 ล้านบาทต่อปี มีส่วนแบ่งการตลาด 34.54%

“กลุ่มสำนักพิมพ์ขนาดกลาง” มีรายได้ตั้งแต่ 35 ล้านบาทขึ้นไปแต่ไม่ถึง 115 ล้านบาทต่อปี มีส่วนแบ่งการตลาด 16.09% และ “กลุ่มสำนักพิมพ์ขนาดเล็ก” มีรายได้ต่ำกว่า 35 ล้านบาทต่อปี มีส่วนแบ่งทางการตลาด 13.88%

ปัจจุบันแม้จะมีสำนักพิมพ์ขนาดเล็กเกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก แต่ก็มีอันต้องล้มเลิกธุรกิจเป็นจำนวนไม่น้อย หรือแม้แต่สำนักพิมพ์บางแห่งที่เป็นกลุ่มผู้นำตลาดแต่มีผลกำไรต่ำกว่า 10% ก็ต้องปรับระดับลงมาเป็นสำนักพิมพ์ขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันสำนักพิมพ์ขนาดเล็กก็สามารถขยับไปเป็นสำนักพิมพ์ขนาดกลางได้อย่างมั่นคงหลายแห่ง รวมไปถึงสำนักพิมพ์ขนาดกลางที่สามารถขยับขึ้นเป็นสำนักพิมพ์ขนาดใหญ่ได้เช่นกัน เนื่องเพราะสามารถปรับตัวและสร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัวได้นั่นเอง

ทางรอดธุรกิจหนังสือเล่ม เลิกผลิตตามแนวถนัด!

สิ่งหนึ่งที่สะท้อนออกมาในภาพรวมของธุรกิจหนังสือในปี 2555 ต่อเนื่องมายังปี 2556 ตามทัศนะของ “วรพันธ์ โลกิตสถาพร” คือ “ภาพการล้มหายตายจากของสำนักพิมพ์ขนาดเล็กมากกว่า 60 แห่ง” เขาบอกว่า

“ธุรกิจหนังสือเล่มถือว่ามีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงมีผู้เข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าธุรกิจหนังสือเล่มยังสามารถเติบโตได้หากผู้ประกอบการสามารถวิเคราะห์ตลาดและหาช่องว่างของตลาดที่ยังมีอยู่มากมาสร้างสรรค์ผลงานเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด”

สอดรับกับความเห็นของ ศักดิ์ชัย วิจัยธรรมฤทธิ์ กรรมการสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ ซึ่งย้ำชัดว่า
“สิ่งที่สำคัญคือผู้ประกอบการต้องมีการพัฒนาในด้านต่างๆ โดยไม่ปล่อยให้หนังสือเป็นไปตามธรรมชาติดังที่เคยเป็น กล่าวคือต้องเลิกผลิตหนังสือตามแนวที่ตนถนัด แต่ต้องเร่งสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ด้วยการหันมาผลิตหนังสือให้ตรงกับแนวทางการตลาดและมีความแม่นยำในการทำหนังสือมากยิ่งขึ้น”

นิยายรัก-แฟนตาซี-How To อนาคตดีเน้นเจาะกลุ่ม 12-20 ปี

สำหรับหมวดสินค้าที่เป็นที่นิยมสูงสุดในตลาดปัจจุบัน คือ “หนังสือนวนิยายรัก” ทั้งวัยใสและผู้ใหญ่ รวมถึง “หนังสือแนวแฟนตาซี” ซึ่งมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมีผู้ผลิตรายใหญ่ๆ เข้ามาผลิตจำนวนหนังสือในตลาดนี้มากขึ้น ส่วนหนังสือประเภทLite Novel, Inspiration รวมถึง How Toเกี่ยวกับหุ้นและการลงทุนต่างๆ ยังคงมีการขยับตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ “หนังสือการ์ตูนความรู้” แม้ตลาดจะดูไม่ขยับมากนักแต่คาดว่าในปี 2556 จะมีผู้ผลิตรายใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นตลาดให้มีการขยายตัวได้อีกครั้งเพราะเป็นตลาดที่ยังสามารถสร้างฐานการอ่านได้อีกจำนวนมาก

ส่วนกระแสตลาดหนังสือที่มีแนวโน้มขยายตัวสูงคือ หนังสือที่เจาะกลุ่มเป้าหมายผู้อ่านวัย 12-20 ปีซึ่งแม้ปัจจุบันสัดส่วนกลุ่มผู้อ่านที่เป็นผู้หญิงจะมีสูงถึง 70% ขณะที่กลุ่มผู้อ่านผู้ชายมีเพียง 30% แต่แนวโน้มของกลุ่มผู้อ่านผู้ชายกลับมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจึงถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่ผู้ผลิตควรพิจารณาหาช่องทางในการเจาะตลาดกลุ่มนี้ให้มากขึ้น

กำลังโหลดความคิดเห็น