มันฟังดูอาจจะเป็นเรื่องแปลกแต่จริง ที่มีมนุษย์เงินเดือนจำนวนไม่น้อยที่ “ไม่รู้” และไม่เคยเข้าใจถึงประโยชน์ในการออมภาคสมัครใจผ่านกลไกของ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund : PVD)
สำหรับมนุษย์เงินเดือนในสถานประกอบการขนาดกลางและเล็ก อาจจะมีเพียง กองทุนประกันสังคม ที่บังคับโดยกฏหมาย แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เนื่องจากนายจ้างไม่อยากแบกภาระการจ่ายเงินสมทบให้กับลูกจ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ถึงเหตุผลของความไม่รู้ของบรรดามนุษย์เงินเดือนที่อยู่ในสถานประกอบการเหล่านี้
แต่สำหรับบรรดาพนักงานกินเงินเดือนที่ทำงานอยู่ในองค์กรขนาดใหญ่จำนวนมาก ที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ ก็กลับไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องนี้มากเท่าไรนัก
สำหรับหลายต่อหลายคน ถึงพอจะรู้ว่าองค์กรของตัวเอง มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ แต่ก็อาจจะมีความรู้สึกในทางลบด้วยซ้ำไป เพราะเหมือนเป็นภาระและรู้สึก “เซ็ง”ทุกครั้งที่รับ “สลิปต์” เงินเดือน เมื่อเห็นตัวเลขที่โชว์ยอดที่ต้องถูกหักสะสมไปในแต่ละเดือน หรือบางคนพาลไม่ยอมเป็นสมาชิกกองทุนฯไปเสียฉิบ เพียงเพราะกลัวจะมีเงินไม่พอใช้ในแต่ละเดือน
เรื่องแบบนี้ก็เหมือนกับ คำพังเพยที่ว่า “ไม่เห็นโลงศพ มิอาจหลั่งน้ำตา”เพราะคนส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นคุณค่าของ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จนกว่าจะมีเหตุการณ์บางอย่างที่จำเป็นต้องหา “ตัวช่วย” ทางการเงิน
คงเป็นเรื่องที่ต้องสร้างความเข้าใจใหม่สำหรับหลายๆคนว่า การออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ความจริงแล้วคือ การลงทุนระยะยาวโดยสมัครใจรูปแบบหนึ่ง ที่จะผูกพันไปในระยะยาว โดยเราไม่รู้สึกตัว และจะเป็นตัวช่วยชั้นเยี่ยมสำหรับการสร้างหลักประกันเพื่อเกษียณอายุ สำหรับผู้อยู่ในวัยทำงาน
ปัจจุบันในองค์กรธุรกิจชั้นนำส่วนใหญ่จะมีการจัดตั้ง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพโดยเป็นกองทุนที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้นด้วยความสมัครใจ เพื่อให้ลูกจ้างมีเงินออมไว้ใช้เมื่อเกษียณอายุ หรือเมื่อออกจากงาน และยังเป็นหลักประกันให้แก่ครอบครัวกรณีที่เกิดเสียชีวิต
ลูกจ้างจะมีหน้าที่จ่าย “เงินสะสม” และนายจ้างจ่าย “เงินสมทบ” เข้ากองทุนฯ ในจำนวนไม่น้อยกว่าที่ลูกจ้างจ่ายเงินสะสม แต่จะไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินเดือน
เงินก้อนนี้จะถูกบริหารโดยมืออาชีพ ผ่าน ”บริษัทจัดการกองทุน” หรือ บลจ.ที่ได้รับ การคัดเลือก ซึ่งจะมีการนำเงินกองทุนไปลงทุนในตราสารประภทต่างๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับกองทุนฯ
ข้อดีของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็คือ มันเปรียบเสมือนการลงทุนที่เราได้รับผลประโยชน์ถึง “สองเด้ง” เพราะเมื่อคุณจ่าย “เงินสะสม” เข้าไปในกองทุนแล้ว นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่าย “เงินสมทบ” เท่าๆกันหรือ ไม่เกิน 15% เพื่อนำเม็ดเงินไปบริหารโดยผู้จัดการกองทุนฯมืออาชีพ ที่จะทำให้เกิดผลตอบแทนเพิ่มขึ้น
แต่ที่เด็ดไปกว่านั้น คือ เงินที่คุณจ่ายสะสมเข้ากองทุนไปทุกๆปี สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในตอนปลายปีได้อีกด้วย สูงสุดไม่เกิน15% ของค่าจ้าง หรือไม่เกินปีละ 300,000 บาท
ที่ผ่านมา ในการบริหารจัดการกองทุนฯ นายจ้างส่วนใหญ่มักจะให้ บลจ.ที่รับเข้ามาบริหาร นำเม็ดเงินทั้งกองฯไปลงทุนภายใต้นโยบายการลงทุนเพียงแบบเดียว เหมือนการ “เหมาเข่ง” แต่เนื่องจากในแต่ละองค์กร ต่างก็มีพนักงานหลากหลายระดับตามอายุ จึงเกิดคำถามว่า การใช้นโยบายการลงทุนแบบเดียวจะเหมาะสมหรือไม่ และบางครั้งผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนอาจจะไม่ค่อยประทับใจ
ในระยะหลังๆ จึงเริ่มมีแนวคิดในการที่จะกระจายเม็ดเงินออกเป็นพอร์ตการลงทุนหลายๆกองฯเพี่อให้พนักงานเลือกลงทุนตามความต้องการ หรือที่เรียกว่าEmployee Choices ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีการจัดสรรน้ำหนักในพอร์ตการลงทุนที่มีระดับความเสี่ยงไม่เท่ากัน
สำหรับพนักงานที่ยังมีอายุไม่มากนัก อาจจะอยากลงทุนในกองทุนฯที่มีนโยบายการลงทุนที่กล้าเสี่ยงมากกว่าพนักงานที่อยู่ในวัยกลางคน หรือ วัยกำลังใกล้จะเกษียณ ที่ต้องการความมั่นคงมากขึ้น
ทั้งเงินสะสม เงินสมทบ และ ผลตอบแทนจากการลงทุน จะถูกสะสมไปเรื่อยๆในแต่ละปี และเราจะได้รับเงินทั้งหมดจากกองทุนฯ ก็ต่อเมื่อเกษียณอายุจากการทำงาน มีอายุครอบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือ เกิดเหตุทพพลภาพจนทำงานไม่ได้ หรือ เสียชีวิต ซึ่งทั้ง 3 กรณี จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำเงินที่ได้รับไปคำนวณในการเสียภาษีเงินได้
คำถามที่น่าสนใจก็คือ หากเรามีเหตุจำเป็นต้องออก หรือถูกให้ออกจากงานก่อนเกษียณอายุ (Early Retirement) ถึงแม้เราจะได้รับผลประโยชน์จากกองทุนฯ แต่เราจำเป็นต้องเสียภาษีเงินได้จากผลประโยชน์ที่ได้รับหรือไม่
ในเรื่องนี้ กรมสรรพากร ยังใจดีช่วยลดหย่อนภาษีในส่วนที่เป็นเงินสะสมของเรา แต่ในกรณีที่มีอายุงานน้อยกว่า 5 ปี เงินสมทบของนายจ้าง และผลประโยชน์ของเงินสะสม และเงินสมทบ จะต้องนำไปรวมเป็นรายได้เพื่อคำนวณภาษี
สำหรับผู้ที่อายุงานเกิน 5 ปีขึ้นไป นอกจากจะไม่ต้องเสียภาษีในส่วนของเงินสะสมแล้ว เงินสมทบของนายจ้าง และผลประโยชน์ของเงินสะสม และ เงินสมทบ สามารถนำไปหักค่าใช้จ่ายได้ปีละ 7,000 บาท เหลือเท่าไรให้นำไปหักออกอีกครึ่งหนึ่ง และนำเงินที่เหลือไปรวมเป็นรายได้สุทธิที่ต้องคำนวณภาษีเงินได้
กรมสรรพากร ยังใจดีมากไปกว่านั้นอีก คือในกรณีที่เราเชื่อว่าเราจะสามารถหางานใหม่ได้ในเร็ววัน เราก็สามารถที่จะฝากให้กองทุนฯเขาดูแลเงินของเราไปได้หนึ่งปี โดยยังไม่ต้องรีบไปนำเงินออกมา เมื่อได้งานใหม่ที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเหมือนกัน ก็ค่อยโยกเงินทั้งหมดมาลงในกองทุนฯใหม่
เพราะอย่างนี้ สำหรับบางคนเมื่อออกจากงาน เงินที่ได้รับจากองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพียงอย่างเดียวก็สามารถจะทำให้มีชีวิตในบั้นปลายได้อย่างแสนสุข ก็ได้แต่หวังว่า เมื่อถึงตรงนี้คุณคงเห็นประโยชน์ของ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แล้วนะครับว่า มันเป็น “ตัวช่วย” เรื่องเงินๆทองๆของเราได้มากขนาดไหน สำหรับคนที่มีสิทธิ์แต่ไม่ใช้สิทธิ์ก็เหมือนทิ้งโอกาสทองไปจริงๆ
สำหรับมนุษย์เงินเดือนในสถานประกอบการขนาดกลางและเล็ก อาจจะมีเพียง กองทุนประกันสังคม ที่บังคับโดยกฏหมาย แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เนื่องจากนายจ้างไม่อยากแบกภาระการจ่ายเงินสมทบให้กับลูกจ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ถึงเหตุผลของความไม่รู้ของบรรดามนุษย์เงินเดือนที่อยู่ในสถานประกอบการเหล่านี้
แต่สำหรับบรรดาพนักงานกินเงินเดือนที่ทำงานอยู่ในองค์กรขนาดใหญ่จำนวนมาก ที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ ก็กลับไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องนี้มากเท่าไรนัก
สำหรับหลายต่อหลายคน ถึงพอจะรู้ว่าองค์กรของตัวเอง มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ แต่ก็อาจจะมีความรู้สึกในทางลบด้วยซ้ำไป เพราะเหมือนเป็นภาระและรู้สึก “เซ็ง”ทุกครั้งที่รับ “สลิปต์” เงินเดือน เมื่อเห็นตัวเลขที่โชว์ยอดที่ต้องถูกหักสะสมไปในแต่ละเดือน หรือบางคนพาลไม่ยอมเป็นสมาชิกกองทุนฯไปเสียฉิบ เพียงเพราะกลัวจะมีเงินไม่พอใช้ในแต่ละเดือน
เรื่องแบบนี้ก็เหมือนกับ คำพังเพยที่ว่า “ไม่เห็นโลงศพ มิอาจหลั่งน้ำตา”เพราะคนส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นคุณค่าของ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ จนกว่าจะมีเหตุการณ์บางอย่างที่จำเป็นต้องหา “ตัวช่วย” ทางการเงิน
คงเป็นเรื่องที่ต้องสร้างความเข้าใจใหม่สำหรับหลายๆคนว่า การออมผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ความจริงแล้วคือ การลงทุนระยะยาวโดยสมัครใจรูปแบบหนึ่ง ที่จะผูกพันไปในระยะยาว โดยเราไม่รู้สึกตัว และจะเป็นตัวช่วยชั้นเยี่ยมสำหรับการสร้างหลักประกันเพื่อเกษียณอายุ สำหรับผู้อยู่ในวัยทำงาน
ปัจจุบันในองค์กรธุรกิจชั้นนำส่วนใหญ่จะมีการจัดตั้ง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพโดยเป็นกองทุนที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้นด้วยความสมัครใจ เพื่อให้ลูกจ้างมีเงินออมไว้ใช้เมื่อเกษียณอายุ หรือเมื่อออกจากงาน และยังเป็นหลักประกันให้แก่ครอบครัวกรณีที่เกิดเสียชีวิต
ลูกจ้างจะมีหน้าที่จ่าย “เงินสะสม” และนายจ้างจ่าย “เงินสมทบ” เข้ากองทุนฯ ในจำนวนไม่น้อยกว่าที่ลูกจ้างจ่ายเงินสะสม แต่จะไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินเดือน
เงินก้อนนี้จะถูกบริหารโดยมืออาชีพ ผ่าน ”บริษัทจัดการกองทุน” หรือ บลจ.ที่ได้รับ การคัดเลือก ซึ่งจะมีการนำเงินกองทุนไปลงทุนในตราสารประภทต่างๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับกองทุนฯ
ข้อดีของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็คือ มันเปรียบเสมือนการลงทุนที่เราได้รับผลประโยชน์ถึง “สองเด้ง” เพราะเมื่อคุณจ่าย “เงินสะสม” เข้าไปในกองทุนแล้ว นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่าย “เงินสมทบ” เท่าๆกันหรือ ไม่เกิน 15% เพื่อนำเม็ดเงินไปบริหารโดยผู้จัดการกองทุนฯมืออาชีพ ที่จะทำให้เกิดผลตอบแทนเพิ่มขึ้น
แต่ที่เด็ดไปกว่านั้น คือ เงินที่คุณจ่ายสะสมเข้ากองทุนไปทุกๆปี สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในตอนปลายปีได้อีกด้วย สูงสุดไม่เกิน15% ของค่าจ้าง หรือไม่เกินปีละ 300,000 บาท
ที่ผ่านมา ในการบริหารจัดการกองทุนฯ นายจ้างส่วนใหญ่มักจะให้ บลจ.ที่รับเข้ามาบริหาร นำเม็ดเงินทั้งกองฯไปลงทุนภายใต้นโยบายการลงทุนเพียงแบบเดียว เหมือนการ “เหมาเข่ง” แต่เนื่องจากในแต่ละองค์กร ต่างก็มีพนักงานหลากหลายระดับตามอายุ จึงเกิดคำถามว่า การใช้นโยบายการลงทุนแบบเดียวจะเหมาะสมหรือไม่ และบางครั้งผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนอาจจะไม่ค่อยประทับใจ
ในระยะหลังๆ จึงเริ่มมีแนวคิดในการที่จะกระจายเม็ดเงินออกเป็นพอร์ตการลงทุนหลายๆกองฯเพี่อให้พนักงานเลือกลงทุนตามความต้องการ หรือที่เรียกว่าEmployee Choices ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีการจัดสรรน้ำหนักในพอร์ตการลงทุนที่มีระดับความเสี่ยงไม่เท่ากัน
สำหรับพนักงานที่ยังมีอายุไม่มากนัก อาจจะอยากลงทุนในกองทุนฯที่มีนโยบายการลงทุนที่กล้าเสี่ยงมากกว่าพนักงานที่อยู่ในวัยกลางคน หรือ วัยกำลังใกล้จะเกษียณ ที่ต้องการความมั่นคงมากขึ้น
ทั้งเงินสะสม เงินสมทบ และ ผลตอบแทนจากการลงทุน จะถูกสะสมไปเรื่อยๆในแต่ละปี และเราจะได้รับเงินทั้งหมดจากกองทุนฯ ก็ต่อเมื่อเกษียณอายุจากการทำงาน มีอายุครอบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือ เกิดเหตุทพพลภาพจนทำงานไม่ได้ หรือ เสียชีวิต ซึ่งทั้ง 3 กรณี จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำเงินที่ได้รับไปคำนวณในการเสียภาษีเงินได้
คำถามที่น่าสนใจก็คือ หากเรามีเหตุจำเป็นต้องออก หรือถูกให้ออกจากงานก่อนเกษียณอายุ (Early Retirement) ถึงแม้เราจะได้รับผลประโยชน์จากกองทุนฯ แต่เราจำเป็นต้องเสียภาษีเงินได้จากผลประโยชน์ที่ได้รับหรือไม่
ในเรื่องนี้ กรมสรรพากร ยังใจดีช่วยลดหย่อนภาษีในส่วนที่เป็นเงินสะสมของเรา แต่ในกรณีที่มีอายุงานน้อยกว่า 5 ปี เงินสมทบของนายจ้าง และผลประโยชน์ของเงินสะสม และเงินสมทบ จะต้องนำไปรวมเป็นรายได้เพื่อคำนวณภาษี
สำหรับผู้ที่อายุงานเกิน 5 ปีขึ้นไป นอกจากจะไม่ต้องเสียภาษีในส่วนของเงินสะสมแล้ว เงินสมทบของนายจ้าง และผลประโยชน์ของเงินสะสม และ เงินสมทบ สามารถนำไปหักค่าใช้จ่ายได้ปีละ 7,000 บาท เหลือเท่าไรให้นำไปหักออกอีกครึ่งหนึ่ง และนำเงินที่เหลือไปรวมเป็นรายได้สุทธิที่ต้องคำนวณภาษีเงินได้
กรมสรรพากร ยังใจดีมากไปกว่านั้นอีก คือในกรณีที่เราเชื่อว่าเราจะสามารถหางานใหม่ได้ในเร็ววัน เราก็สามารถที่จะฝากให้กองทุนฯเขาดูแลเงินของเราไปได้หนึ่งปี โดยยังไม่ต้องรีบไปนำเงินออกมา เมื่อได้งานใหม่ที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเหมือนกัน ก็ค่อยโยกเงินทั้งหมดมาลงในกองทุนฯใหม่
เพราะอย่างนี้ สำหรับบางคนเมื่อออกจากงาน เงินที่ได้รับจากองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพียงอย่างเดียวก็สามารถจะทำให้มีชีวิตในบั้นปลายได้อย่างแสนสุข ก็ได้แต่หวังว่า เมื่อถึงตรงนี้คุณคงเห็นประโยชน์ของ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แล้วนะครับว่า มันเป็น “ตัวช่วย” เรื่องเงินๆทองๆของเราได้มากขนาดไหน สำหรับคนที่มีสิทธิ์แต่ไม่ใช้สิทธิ์ก็เหมือนทิ้งโอกาสทองไปจริงๆ