xs
xsm
sm
md
lg

อันดับเครดิตของรัฐในสหรัฐมีแนวโน้มเชิงลบเป็นปีที่ 6 และแนวทางของงบประมาณรายจ่ายของสหรัฐอเมริกา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

        มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ระบุว่า อันดับความน่าเชื่อถือของรัฐต่างๆในสหรัฐยังคงมีแนวโน้มในเชิงลบเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน ถึงแม้มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเข้าสู่เสถียรภาพ
        มูดี้ส์ระบุในรายงานว่า "แรงหนุนที่งบรายจ่ายได้รับจากมาตรการต่างๆ เช่น เมดิเคด (โครงการประกันสุขภาพสำหรับคนจน) และเงินบำนาญยังคงไม่ลดระดับลง และการเติบโตทางเศรษฐกิจก็เผชิญความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องจากมาตรการปรับลดยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลาง"
        มูดี้ส์ระบุว่า ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐต่างๆในสหรัฐยังคง"อยู่ในระดับต่ำมาก" โดยอันดับความน่าเชื่อถือของรัฐต่างๆในสหรัฐมีค่ากลางอยู่ที่Aa1 อย่างไรก็ดี ในบรรดารัฐทั้งหมด 50 รัฐนั้น มีอยู่ 30 รัฐที่มีอันดับความน่าเชื่อถือติดอยู่ในอันดับสูงสุดสองอันดับแรก
        มูดี้ส์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐอาจเติบโต 2.1 % ในปี 2013 และ2.5 % ในปี 2014
        มูดี้ส์ระบุว่า การปรับขึ้นอัตราภาษีสำหรับผู้มีรายได้สูงในระดับของรัฐบาลกลางสหรัฐ จะส่งผลกระทบที่แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐของสหรัฐ
        รัฐอลาบามา, ไอโอวา, หลุยเซียนา, มิสซูรี, มอนตานา และโอเรกอนมีแนวโน้มที่จะจัดเก็บภาษีเงินได้ได้น้อยลง เพราะรัฐกลุ่มนี้เปิดโอกาสให้มีการนำภาษีเงินได้ของรัฐบาลกลางมาหักลดหย่อนภาษีในรัฐ
        มีรัฐ 8 รัฐที่มีแนวโน้มจะจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น เพราะรัฐทั้ง 8 รัฐนี้เชื่อมโยงรายได้ก่อนหักภาษีกับอัตราภาษีเงินได้ของรัฐบาลกลาง โดยรัฐ 8 รัฐได้แก่โคโลราโด, ไอดาโฮ, มินนิโซตา, นอร์ธ แคโรไลนา, นอร์ธ ดาโกตา,โอเรกอน, เซาธ์ แคโรไลนา และเวอร์มอนท์
        หลังจากรัฐแคลิฟอร์เนียออกกฎหมายเพื่อจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 6 พันล้านดอลลาร์ รัฐอื่นๆก็เสนอที่จะปรับขึ้นภาษีเงินได้ส่วนบุคคลเช่นกัน โดยรัฐแมรีแลนด์วางแผนจะปรับอัตราภาษีขึ้นสู่ 6.25 % จากเดิมที่ 5.25 % ส่วนรัฐมินนิโซตาวางแผนจะปรับขึ้นอัตราภาษีสำหรับกลุ่มผู้มีเงินได้สูงสุด
        รัฐอื่นๆอย่างเช่นแคนซัสและหลุยเซียนา ได้หารือเรื่องการปรับลดอัตราภาษี
        สถาบันรัฐบาลร็อคกีเฟลเลอร์ระบุว่า รายได้จากการจัดเก็บภาษีของรัฐต่างๆเพิ่มสูงขึ้นเป็นไตรมาสที่ 11 ติดต่อกัน และมีแนวโน้มปรับขึ้น 3.9 % ในปีงบประมาณ 2013
        อย่างไรก็ดี มูดี้ส์ระบุว่า ค่าใช้จ่ายของรัฐต่างๆเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง
        มูดี้ส์ระบุว่า "หลังจากรายจ่ายของรัฐต่างๆลดลงเป็นเวลาติดต่อกันสองปี รายจ่ายระดับรัฐก็เริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้งในปีงบประมาณ 2012 ยกเว้นรายจ่ายด้านอุดมศึกษา, บริการภาครัฐ และราชทัณฑ์ โดยรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด2 รายการแรกสำหรับรัฐต่างๆคือรายจ่ายในโครงการเมดิเคดและเงินบำนาญ"
        มูดี้ส์ประเมินว่า ภาระค้างจ่ายในโครงการเงินบำนาญมียอดรวมกันอยู่ที่ 4 แสนล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2011 หรือ 27 % ของรายได้รวมทุกรัฐในปีนั้น โดยภาระค้างจ่ายนี้มีสัดส่วนแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ โดยอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 5 % ของรายได้ในบางรัฐ แต่อยู่ที่ระดับสูงเกือบถึง 150 %ของรายได้ในรัฐอิลลินอยส์ และอยู่ที่ 190 % ของรายได้ใเปอร์โตริโก
        ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีบารัค โอบามาได้ประกาศเตือนถึงผลร้ายแรงต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น ถ้าหากมาตรการตัดลดงบรายจ่ายโดยอัตโนมัติ (sequestration) มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มี.ค. โดยผลกระทบดังกล่าวจะรวมถึงการที่ประชาชนหลายแสนคนอาจจะต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน,ผู้โดยสารเครื่องบินจะต้องใช้เวลานานในการเข้าคิวรอตรวจค้นร่างกายที่สนามบิน และอาชญากรจะไม่ได้รับการลงโทษ
        ถึงแม้ sequestration ที่มีวงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์นี้เป็นภัยคุกคามต่อการจ้างงานและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่ผู้เชี่ยวชาญก็กล่าวว่า หน่วยงานต่างๆของรัฐบาลสหรัฐกำลังพยายามทำให้ผลกระทบจาก sequestration ดูรุนแรงเกินความเป็นจริงในช่วงนี้ เพื่อจะได้กดดันสมาชิกสภาคองเกรสให้หาทางสกัดกั้น sequestration
        นายแอชตัน คาร์เตอร์ รมช.กลาโหมสหรัฐ กล่าวต่อคณะกรรมาธิการจัดสรรงบประมาณประจำวุฒิสภาว่า sequestration จะส่งผลลบต่อความพร้อมของกองทัพสหรัฐ โดยครึ่งหนึ่งของ sequestration จะเป็นการตัดลดงบประมาณทางการทหาร ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะเป็นการตัดงบประมาณสำหรับโครงการที่ไม่จำเป็นภายในประเทศ
        นายคาร์เตอร์กล่าวว่า sequestration จะส่งผลให้กองทัพสหรัฐต้องปลดพนักงานตามสัญญาชั่วคราวราว 46,000 ราย, สั่งพักงานพนักงานพลเรือน800,000 รายเป็นเวลา 22 วัน และต้องลดการซ่อมบำรุงเรือและเครื่องบิน
        อย่างไรก็ดี การตัดลดในครั้งนี้มีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับงบประมาณสหรัฐที่มีวงเงิน 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี และเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจสหรัฐ
        นายลอว์เรนซ์ คอร์บ อดีตรมช.กลาโหมสหรัฐกล่าวว่า "มีบางคนกล่าวว่าถ้าหากงบประมาณทางการทหารลดลงสู่ระดับเดียวกับในปี 2007 สหรัฐก็จะกลายเป็นชาติมหาอำนาจอันดับสอง อย่างไรก็ดี คำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวที่เกินความเป็นจริง"
        นายคอร์บกล่าวว่า "ถ้าหากคุณปรับลดงบประมาณ งบประมาณทางการทหารก็จะลดลงสู่ 5 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี และผมไม่คิดว่างบประมาณที่ระดับนี้เป็นสิ่งที่น่ากังวล" และเขาตั้งข้อสังเกตว่า งบดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่า
งบประมาณทางการทหารในประเทศอื่นๆเป็นอย่างมาก
        อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ด้านงบประมาณคนหนึ่งในทำเนียบขาวกล่าวเตือนว่าsequestration จะส่งผลกระทบร้ายแรงอย่างแท้จริง
        นายแดนนี เวอร์เฟล ผู้อำนวยการในสำนักงานการจัดการและงบประมาณกล่าวว่า "เราไม่สามารถตัดงบประมาณของเราลง 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สำหรับช่วง7 เดือนข้างหน้าได้โดยที่ไม่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการป้องกันประเทศและโครงการอื่นๆ"
        ในช่วงนี้ทั้งนายเวอร์เฟลและรัฐมนตรีบางคนของสหรัฐต่างก็กล่าวถึงผลกระทบอย่างร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้น ถ้าหากสภาคองเกรสและปธน.โอบามาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ในการสกัดกั้น sequestration
        กระทรวงยุติธรรมสหรัฐคาดการณ์ว่า sequestration จะส่งผลให้ทางกระทรวงจัดการกับคดีอาชญากรรมได้น้อยลง 1,000 คดีต่อปี ส่วนสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (เอฟบีไอ) จำเป็นต้องสั่งพักงานพนักงานทุกคนเป็นเวลาราว 14 วันซึ่งมีค่าเท่ากับการให้เจ้าหน้าที่ 775 คนยุติการปฏิบัติงาน
        นายเอริค โฮลเดอร์ รมว.ยุติธรรมสหรัฐระบุว่า "อาชญากรที่สมควรต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตน จะไม่ต้องรับผิด และผู้ฝ่าฝืนกฎหมายของเราอาจจะไม่ได้รับการลงโทษ"
        นางเจเน็ต นาโปลิตาโน รมว.ความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐ กล่าวว่าการเข้าคิวเพื่อรอตรวจค้นร่างกายในสนามบินอาจจะต้องใช้เวลานานขึ้นอีกหนึ่งชั่วโมงเพราะจะมีการสั่งพักงานเจ้าหน้าที่ในกรมความมั่นคงทางคมนาคม
        นางนาโปลิตาโนกล่าวว่า การเข้าคิวเพื่อรอข้ามพรมแดนอาจจะต้องใช้เวลานาน 4-5 ชั่วโมง ในขณะที่ท่าเรืออาจปฏิบัติงานได้ช้ามาก นอกจากนี้ ยามชายฝั่งจะลดการลาดตระเวนลงด้วย ซึ่งจะส่งผลให้การสกัดจับผู้ค้ายาเสพติดและผู้ลักลอบเข้าเมืองลดลง และภาคประมงจะได้รับแรงกดดันมากยิ่งขึ้น
        นายจอห์น แคร์รี รมว.ต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า "ภารกิจสำคัญในด้านความมั่นคงของชาติ, การทูต และการพัฒนา" เผชิญความเสี่ยงจากการตัดลดงบประมาณ
        นายฌอน โดโนแวน รมว.การเคหะและการพัฒนาเขตเมือง คาดการณ์ว่าประชาชนราว 225,000 คน ซึ่งรวมถึงทหารผ่านศึก อาจจะกลายเป็นคนไร้บ้านเพราะพวกเขาจะไม่ได้รับคูปองที่อยู่อาศัยหรือไม่สามารถใช้บริการจากโครงการที่พำนักฉุกเฉิน
        นายกอร์ดอน อดัมส์ อาจารย์ด้านนโยบายต่างประเทศในมหาวิทยาลัยอเมริกัน กล่าวว่า กระทรวงกลาโหมสหรัฐมีความยืดหยุ่นมากกว่าหน่วยงานภายในประเทศในการรับมือกับ sequestration
        นายอดัมส์กล่าวว่า หน่วยงานภายในประเทศเป็นหน่วยงานที่มีการจ่ายเงินเดือน ดังนั้นหน่วยงานประเภทนี้จึงแทบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการปลดพนักงานส่วนกระทรวงกลาโหมไม่ได้รับผลกระทบในส่วนของงบประมาณในการทำสงครามและค่าจ้างสำหรับทหาร เพราะงบประมาณในส่วนนี้ได้รับการยกเว้นจาก sequestrationนอกจากนี้ กิจกรรมจัดซื้อจัดจ้างส่วนใหญ่ของกระทรวงกลาโหมก็สามารถใช้เงินที่ได้รับการจัดสรรไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และ "สหรัฐก็ไม่มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับภัยคุกคามจากต่างชาติอย่างฉับพลันด้วย"
        อย่างไรก็ดี นายอดัมส์กล่าวเสริมว่า นักการเมืองอาจจะกล่าวเกินจริงเกี่ยวกับผลกระทบที่โครงการภายในประเทศอาจได้รับด้วยเช่นกัน
        นายอดัมส์กล่าวว่า "ถ้าหากผมเป็นฝ่ายบริหารของปธน.โอบามา ผมก็จะเน้นพูดถึงผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดและเลวร้ายที่สุด เพื่อที่ผมจะได้กดดันสมาชิกพรรครีพับลิกัน" ให้บรรลุข้อตกลงเพื่อสกัดกั้น sequestration
        นายเวอร์เฟลยอมรับว่า ผลกระทบทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้นในทันทีเมื่อsequestration เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มี.ค. และสถานการณ์แบบนี้เป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากการปิดหน่วยงานรัฐบาล
        ในบางกรณีนั้น ถึงแม้มีการแจ้งให้พนักงานลาพักงานในวันที่ 1 มี.ค.แต่พวกเขาก็อาจจะไม่ลาพักงานเป็นเวลา 30 วันเพราะกฎหมายได้กำหนดระยะเวลาแจ้งเตือนล่วงหน้าเอาไว้ ส่วนในกรณีอื่นๆนั้น การเจรจาต่อรองกับสหภาพแรงงานอาจจะส่งผลกระทบต่อการสั่งลาพักงาน
        อย่างไรก็ดี นายเวอร์เฟลกล่าวว่า ผลกระทบจาก sequestrationจะทวีความรุนแรงขึ้น "อย่างรวดเร็ว" ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือนขณะที่การปลดพนักงาน, การสั่งให้พนักงานลาพักงาน และการลดการให้บริการมีแนวโน้มที่จะกระจายออกไปในระยะเวลา 7 เดือนข้างหน้าจนถึงวันที่ 30 ก.ย.ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดปีงบประมาณปัจจุบัน
        ทางด้านนายแมทเทีย เครเมอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของสถาบันเนชั่นแนล ไพรออริทีส์ โปรเจคท์กล่าวว่า สหรัฐอาจจะสามารถหาหนทางออมเงินด้านกลาโหมได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐ
        นายเครเมอร์กล่าวว่า "มีโครงการที่ล้าสมัยบางโครงการที่สมควรถูกปิดลง และมีเทคโนโลยียุคสงครามเย็นที่สหรัฐไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนในส่วนนี้อีกต่อไป"
        สำนักงานงบประมาณสภาคองเกรส (CBO) คาดการณ์ในสัปดาห์ที่แล้วว่าถ้าหาก sequestration มีผลบังคับใช้ สิ่งนี้ก็จะส่งผลลบราว 0.6 % ต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ และส่งผลให้การจ้างงานลดลง 750,000 ตำแหน่ง
        นายอีธาน ซีเกล ผู้ให้คำแนะนำแก่นักลงทุนสถาบันคาดการณ์ว่า จะมีการเลื่อนกำหนดการใช้ sequestration ออกไปอีกครั้งก่อนที่จะถึงเส้นตายวันที่ 27มี.ค. ซึ่งเป็นวันที่สหรัฐจะต้องออกกฎหมายใหม่เพื่อจัดสรรทุนดำเนินงานของรัฐบาล
        นายซีเกลกล่าวว่า "หน่วยงานต่างๆของรัฐบาลมีความสามารถสูงในการจัดการกับสิ่งเหล่านี้และในการโยกย้ายเงินไปมา"
        วุฒิสมาชิกพรรคเดโมแครตยื่นข้อเสนอเมื่อวานนี้ให้แทนที่ sequestrationด้วยมาตรการปรับขึ้นภาษีและมาตรการปรับลดเงินช่วยเหลือภาคเกษตร อย่างไรก็ดีเป็นที่คาดกันว่าสมาชิกพรรครีพับลิกันจะปฏิเสธข้อเสนอนี้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
         รัฐบาลของประธานาธิบดีบารัค โอบามาเตือนว่า การปรับลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลลงอย่างมากซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนหน้านั้นจะมีผลกระทบที่รุนแรงสำหรับโครงการที่อยู่อาศัย และอาจส่งผลกระทบต่อความพยายามของสหรัฐที่จะฟื้นตัวจากพายุแซนดี้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ
        นายฌอน โดโนแวน รมว.กระทรวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยและเขตเมือง(HUD) ได้เรียกร้องให้สมาชิกสภานิติบัญญัติเห็นชอบกับแผนการที่จะหลีกเลี่ยงมาตรการปรับลดงบประมาณ (sequestration) วงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มี.ค.
        นายโดโนแวนกล่าวว่า ผลกระทบของการปรับลดงบประมาณซึ่งคิดเป็นวงเงินรวม 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ในระยะ 9 ปีนั้น จะส่งผลให้มีการปรับลดเงินทุนเพื่อการฟื้นฟูประเทศจากพายุแซนดีลงราว 5% หรือประมาณ 800 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเงินดังกล่าวนำไปใช้ในการซ่อมแซมบ้านเรือนและธุรกิจขนาดเล็กมากกว่า 10,000 รายในพื้นที่ประสบภัยทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ
        ประชาชนหลายล้านคนต้องตกงานและไม่มีที่อยู่อาศัยหลังเกิดพายุแซนดี้ในช่วงปลายเดือนต.ค.ที่ผ่านมาซึ่งทำให้เกิดภาวะน้ำท่วม, ไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างและมีผู้เสียชีวิต
        นายโดโนแวนได้รับการแต่งตั้งโดยทำเนียบขาวให้เป็นผู้นำในความพยายามฟื้นฟูบูรณะพื้นที่ในประเทศซึ่งได้รับความเสียหาย
        โครงการสำนักงานเคหะของรัฐบาลกลาง (FHA) ในเครือของ HUDก็มีความเปราะบางเช่นกัน โดยกำลังเผชิญกับการขาดแคลนเงินในกองทุนประกันราว 1.63 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้เกิดความวิตกว่าโครงการดังกล่าวอาจจำเป็นต้องขอรับเงินช่วยเหลือจากผู้เสียภาษี
        "มาตรการปรับลดงบประมาณจะส่งผลกระทบต่อความสามารถของ FHAที่จะดำเนินการด้านเงินกู้ โดยความเสี่ยงดังกล่าวจะสั่นคลอนตลาด และชะลอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม" นายโดโนแวนกล่าว
        FHA จะสนับสนุนเงินกู้ราว 15% ของปริมาณเงินกู้ทั้งหมดในสหรัฐที่ใช้ในการซื้อบ้าน และเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ซื้อบ้านครั้งแรก และผู้กู้ยืมที่มีรายได้น้อย
        นายโดโนแวนกล่าวว่า มาตรการปรับลดงบประมาณจะลดค่าใช้จ่าย212 ล้านดอลลาร์จากโครงการ HOME and Community Development Block Grant ของ HUD ลงด้วย โดยระบุเสริมว่า ชุมชนต่างๆที่ได้รับเงินทุนอาจสูญเสียเงินเกือบ 500 ล้านดอลลาร์ในการระดมทุนของเอกชน เนื่องจากชุมชนต่างๆจะไม่ได้รับเงินจากรัฐบาลอีกต่อไป
        เขากล่าวว่า คนไร้บ้านมากกว่า 100,000 คนรวมถึงทหารผ่านศึกจะถูกถอนออกจากโครงการด้านการเคะหรือโครงการป้องกันฉุกเฉินอันเป็นผลส่วนหนึ่งของการปรับลดงบประมาณ
        นายโดโนแวนกล่าวว่า การปรับลดงบประมาณจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อพนักงานของ HUD  โดยพนักงานของ HUD มากกว่า 9,000 รายในสำนักงาน80 แห่งจะตกงาน
(ข้อมูลจาก สำนักข่าว รอยเตอร์)
 
 
T.Thammasak
 
 
กำลังโหลดความคิดเห็น