“สศอ.” เร่งศึกษาผลกระทบอุตสาหกรรมยานยนต์หลังสิ้นสุดมาตรการนโยบายรถยนต์คันแรกที่ดึงเอาความต้องการในอนาคตมาใช้ หวั่นอีก 2-3 ปีฉุดยอดขาย และผลิตวูบหนักซ้ำรอยญี่ปุ่น คาดผลศึกษาเสร็จ มี.ค.นี้ เผยแนวโน้มอาจผุดแผนส่งเสริมอีโคคาร์รอบ 2 รับนโยบายสรรพสามิตใหม่ดันผลิตให้ได้เป้า 3 ล้านคันปี’60 เน้นส่งออก
นายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ สศอ.อยู่ระหว่างการศึกษาทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ไทยภายหลังสิ้นสุดมาตรการนโยบายรถยนต์คันแรกที่มียอดจองรถกว่า 1.56 ล้านคัน ว่าจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อในประเทศอีก 2-3 ปีข้างหน้าอย่างไร และภาครัฐควรหามาตรการใดออกมาเพื่อที่จะรักษาระดับการผลิตให้ไทยก้าวสู่การผลิตรถยนต์เกิน 3 ล้านคันในปี 2560 ตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งนี้คาดว่าผลการศึกษาจะแล้วเสร็จภายในเดือน มี.ค. 56
“เราเองก็คงจะต้องระวังเพราะนโยบายรถคันแรกได้ดึงเอาความต้องการในอนาคตมาใช้ซึ่งอาจทำให้ 2-3 ปีข้างหน้าความต้องการลดลงมากก็เป็นได้ เนื่องจากตัวอย่างของญี่ปุ่นได้เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งภายหลังเกิดสึนามิญี่ปุ่นได้ใช้นโยบายคล้ายกับรถยนต์คันแรกของไทยกระตุ้นกำลังซื้อรถยนต์ในประเทศ แต่หลังจากนั้นกำลังซื้อก็ถดถอยลงต่อเนื่อง” นายณัฐพลกล่าว
ทั้งนี้ เบื้องต้น สศอ.ได้ศึกษาแนวทางในการรองรับปัญหาหากพบว่ายอดขายในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าลดลงมากและอาจกระทบต่อเป้าหมายการผลิตรถยนต์ของไทย โดยจะหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในการร่วมกำหนดความเป็นไปได้ถึงการออกนโยบายส่งเสริมรถยนต์ประหยัดพลังงานตามมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์รอบ 2 เพื่อกระตุ้นให้เกิดการผลิตและจำหน่ายรถยนต์รุ่นใหม่
สำหรับนโยบายดังกล่าวจะเป็นการกระตุ้นการผลิตรถยนต์และการจำหน่ายรถโดยไม่ต้องใช้เงินอุดหนุนเหมือนกับรถยนต์คันแรก แต่รถอีโคคาร์รอบ 2 จะเป็นการดำเนินงานภายใต้การส่งเสริมที่จะให้สอดรับกับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ของรัฐบาลที่จะจัดเก็บตามปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ของโลก
“ถ้าจะออกนโยบายอีโคคาร์รอบ 2 นั้น มองว่าราคาจำหน่ายจะไม่แพงเพราะภาษีสรรพสามิตใหม่จะเอื้อมากเพราะรถอีโคคาร์จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ และรถยนต์รุ่นใหม่ออกมาจะยังเป็นการส่งเสริมการตลาดที่จะมองไปถึงการส่งออกมากขึ้น เพราะขณะนี้เทรนด์ของโลกกำลังนิยมอีโคคาร์” นายณัฐพลกล่าว
