ปิดฉากข้าวถุง “มาบุญครอง” หลังดำเนินธุรกิจมานานกว่า 30 ปี ผู้บริหาร “เอ็มบีเค” ยอมรับนโยบายรับจำนำข้าวพ่นพิษ เตรียมตัดใจขายกิจการทิ้ง พร้อมมุ่งธุรกิจศูนย์การค้า อสังหาฯ และไฟแนนซ์
นายสุเวทย์ ธีรวชิรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอ็ม บี เค ผู้บริหารศูนย์การค้าเอ็มบีเค ชอปปิ้ง เซ็นเตอร์ เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทมีความต้องการจะขายกิจการธุรกิจข้าวถุงตรามาบุญครอง เจ้าของสโลแกน “สะอาดทุกถุง หุงขึ้นหม้อ” หลังทำธุรกิจมานานถึง 30 ปี เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของบริษัท ประกอบกับผลกำไรเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ธุรกิจข้าวยังได้รับผลจากนโยบายรับจำนำข้าวที่ส่งผลกระทบต่อราคาข้าวในประเทศ โดยอาจจะขายธุรกิจข้าวหากมีผู้สนใจมาซื้อและเสนอราคาขายที่เหมาะสม ประกอบกับการแข่งขันในธุรกิจข้าวรุนแรงมาก เห็นได้จากในปีนี้มีผลกำไรเพียง 2-3% เมื่อเทียบกับกำไรรวมของบริษัทในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่มีสัดส่วนผลกำไรสูงถึง 10%
ทั้งนี้ ธุรกิจหลักที่บริษัทจะให้ความสำคัญลงทุนต่อเนื่องคือ ธุรกิจศูนย์การค้าเอ็มบีเค ชอปปิ้ง เซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจไฟแนนซ์ และกอล์ฟ โดยแผนลงทุนของบริษัทในช่วง 2 ปีข้างหน้าเตรียมงบลงทุนไว้จำนวน 1,000 ล้านบาท
แบ่งเป็น 500 ล้านบาทปรับปรุงศูนย์การค้าเอ็มบีเค ชอปปิ้ง เซ็นเตอร์ครั้งใหญ่ โดยเตรียมก่อสร้างสกายวอล์กเชื่อมจากสถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ ผ่านด้านหน้าศูนย์การค้ามาถึงโรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส โดยใช้งบ 200 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างปี 2556 มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2557 ส่วนงบประมาณที่เหลือจะใช้ปรับโฉมภายในศูนย์การค้าใหม่ และเตรียมปรับขึ้นค่าเช่าอีก 4-5% ในปีหน้า
สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ คือ เดอะคิว บริเวณรัชดาฯ 17 จำนวน 700 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมที่ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9 จำนวน 300 ยูนิต มูลค่า 1,200 ล้านบาท
ทางด้านธุรกิจการเงิน จะมุ่งขยายทั้งการปล่อยสินเชื่อและปล่อยลีสซิ่งอย่างต่อเนื่อง สำหรับธุรกิจสนามกอล์ฟนั้นยังไม่มีแผนลงทุนใหม่ ส่วนธุรกิจโรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส ได้ปรับโฉมใหม่ไปแล้ว โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี 2556 บริษัทจะมีรายได้รวมเติบโต 5-6%
สำหรับรายได้รวมของบริษัทในปี 2555 เติบโต 5% โดยสัดส่วนกำไรมาจากธุรกิจศูนย์การค้ามากที่สุด 65% รองลงมาธุรกิจโรงแรม 10% ธุรกิจการเงิน 10% อสังหาริมทรัพย์ 5% ข้าว 2-3% และที่เหลือมาจากสนามกอล์ฟและธุรกิจอื่นๆ 2-3% แต่คาดว่าในปีหน้าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจศูนย์การค้าจะลดลงอยู่ในสัดส่วน 50-55% และกำไรจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จะขยายตัวได้ดีขึ้น