ASTVผู้จัดการรายวัน - “คลีนิกข์” เปิดฉากรุกช่องทางอี-คอมเมิร์ซขายออนไลน์ เผยไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มั่นใจทำให้ขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น ผนึกดีเคเอสเอชจัดส่งสินค้าให้
นางนันทวัลย์ เหล่าสินชัย ผู้จัดการทั่วไป เครื่องสำอางคลีนิกข์ บริษัท เอลก้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รุกเข้าสู่ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำร่องด้วยแบรนด์คลีนิกข์ก่อน โดยบริษัทแม่ที่นิวยอร์กเป็นผู้สนับสนุนด้านเงินลงทุนทั้งหมด
สาเหตุที่เลือกไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพราะมียอดขายที่สูงที่สุดและเติบโตดีที่สุด ซึ่งเริ่มอย่างไม่เป็นทางการมาตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายนแล้วกับเครื่องคอมพิวเตอร์ และอีก 6 เดือนจะพัฒนาใช้กับมือถือ และคาดว่าในปีหน้าจึงจะเริ่มในส่วนของประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ได้
ขณะที่ทั่วโลกของคลีนิกข์มีการทำอี-คอมเมิร์ซตั้งแต่ปี 2541 มีอี-คอมเมิร์ซเว็บไซต์แล้ว 19 เว็บไซต์ มีเว็บไซต์การตลาด 24 เว็บไซต์ สำหรับในเอเชียมีเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซใน 5 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และไทยปีนี้ ซึ่งแนวโน้มอี-คอมเมิร์ซในไทยยังเติบโตอย่างดี โดยเฉพาะเมื่อระบบ 3จีจะเกิดขึ้นและมีการพัฒนาอย่างเต็มระบบในปีหน้า ซึ่งจะเป็นอีกช่องทางการขายหนึ่งนอกจากช่องทางห้างสรรพสินค้า และยืนยันว่าจะไม่แย่งตลาดกันทั้งสองช่องทาง
ทั้งนี้ จากตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อปี 2554 ระบุว่า การใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทยเพิ่มขึ้นจากเทรนด์ในการชอปปิ้งออนไลน์ จาก 31% ในปี 2549 เพิ่มเป็น 64% ในปี 2555 นี้ ซึ่งอายุเฉลี่ยของผู้บริโภคที่ใช้ชอปปิ้งออนไลน์คือ 25-34 ปี สัดส่วน 43.3% อายุ 35-49 ปี สัดส่วน 31.3%
นอกจากนี้ ผลการสำรวจชอปปิ้งออนไลน์ของบัตรวีซ่าในปี 2553 ระบุว่า ความนิยมในการชอปปิ้งออนไลน์สินค้าเครื่องสำอางเป็นอันดับที่ 2 ประมาณ 16% โดยอันดับ 1คือ หมวดเสื้อผ้าและรองเท้า 21% ส่วนของมาสเตอร์การ์ดระบุว่า ความนิยมซื้อเครื่องสำอางออนไลน์เป็นอันดับที่ 5 ประมาณ 25% ส่วนอันดับ 1 คือ บัตรโดยสารเครื่องบิน 33%
อย่างไรก็ตาม คลีนิกข์เองก็มีประสบการณ์บริหารจัดการเว็บไซต์มาตั้งแต่ปี 2543 มีฐานข้อมูลสมาชิกเว็บไซต์มากกว่า 50,000 ราย (www.clinique.co.th) ส่วนเฟซบุ๊กคลีนิกข์ในไทย (facebook.com/Clinique Thailand) มีประมาณ 70,000 ราย เป็นระดับอายุสมาชิก 18-23 ปี มากที่สุด 30% เท่ากับอายุ 24-29 ปี และอยู่ในกรุงเทพฯ มากสุด 45%
บริษัทฯ ไม่ได้คาดหวังว่าช่องทางนี้จะทำรายได้มากนัก เพียงแต่จะเป็นอีกช่องทางที่จะเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น และลูกค้าใหม่ๆ โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนการขายจากช่องทางนี้ประมาณ 2% กับค่าเฉลี่ยทั่วโลก 2-3% ส่วนที่มากที่สุดคือที่ญี่ปุ่นสัดส่วนช่องทางนี้ 5% โดยมาจากช่องทางพีซี 70% และโมบายล์ 30%
สำหรับสินค้าคลีนิกข์ที่ขายผ่านทางช่องทางนี้จะมีราคาปกติ ลูกค้าจะได้บริการที่มากกว่า ส่วนค่าส่งจะคิด 150 บาทสำหรับธรรมดา และด่วนคิดราคา 200 บาท หากซื้อเกิน 3,000 บาทจะบริการส่งฟรีด้วยการบริการจัดส่งของบริษัทดีเคเอสเอช ใช้เวลาประมาณ 1 วันในกรุงเทพฯ และ 2 วันสำหรับต่างจังหวัด และยังมีบริการผ่านบัตรเครดิตด้วย โดยมีพันธมิตรหลักคือกสิกรไทย ซึ่งช่วงทดลองพบว่ามียอดสั่งซื้อจากลูกค้าประมาณไม่เกิน 3,000 บาทต่อคนต่อบิล ขณะที่หากใช้จ่ายในเคาน์เตอร์จะประมาณ 3,700 บาทต่อบิล
นางนันทวัลย์กล่าวต่อว่า ผลประกอบการของแบรนด์คลีนิกข์ปีนี้คาดว่าจะเติบโต 15% ซึ่งมากที่สุดในรอบ 10 ปี โดยครึ่งปีแรกเติบโตแล้ว 19% จากปกติที่ผ่านมาแต่ละปีจะเติบโตเฉลี่ย 7% ส่วนปีที่แล้วเติบโต 10%
นางนันทวัลย์ เหล่าสินชัย ผู้จัดการทั่วไป เครื่องสำอางคลีนิกข์ บริษัท เอลก้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รุกเข้าสู่ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำร่องด้วยแบรนด์คลีนิกข์ก่อน โดยบริษัทแม่ที่นิวยอร์กเป็นผู้สนับสนุนด้านเงินลงทุนทั้งหมด
สาเหตุที่เลือกไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพราะมียอดขายที่สูงที่สุดและเติบโตดีที่สุด ซึ่งเริ่มอย่างไม่เป็นทางการมาตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายนแล้วกับเครื่องคอมพิวเตอร์ และอีก 6 เดือนจะพัฒนาใช้กับมือถือ และคาดว่าในปีหน้าจึงจะเริ่มในส่วนของประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ได้
ขณะที่ทั่วโลกของคลีนิกข์มีการทำอี-คอมเมิร์ซตั้งแต่ปี 2541 มีอี-คอมเมิร์ซเว็บไซต์แล้ว 19 เว็บไซต์ มีเว็บไซต์การตลาด 24 เว็บไซต์ สำหรับในเอเชียมีเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซใน 5 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และไทยปีนี้ ซึ่งแนวโน้มอี-คอมเมิร์ซในไทยยังเติบโตอย่างดี โดยเฉพาะเมื่อระบบ 3จีจะเกิดขึ้นและมีการพัฒนาอย่างเต็มระบบในปีหน้า ซึ่งจะเป็นอีกช่องทางการขายหนึ่งนอกจากช่องทางห้างสรรพสินค้า และยืนยันว่าจะไม่แย่งตลาดกันทั้งสองช่องทาง
ทั้งนี้ จากตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อปี 2554 ระบุว่า การใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทยเพิ่มขึ้นจากเทรนด์ในการชอปปิ้งออนไลน์ จาก 31% ในปี 2549 เพิ่มเป็น 64% ในปี 2555 นี้ ซึ่งอายุเฉลี่ยของผู้บริโภคที่ใช้ชอปปิ้งออนไลน์คือ 25-34 ปี สัดส่วน 43.3% อายุ 35-49 ปี สัดส่วน 31.3%
นอกจากนี้ ผลการสำรวจชอปปิ้งออนไลน์ของบัตรวีซ่าในปี 2553 ระบุว่า ความนิยมในการชอปปิ้งออนไลน์สินค้าเครื่องสำอางเป็นอันดับที่ 2 ประมาณ 16% โดยอันดับ 1คือ หมวดเสื้อผ้าและรองเท้า 21% ส่วนของมาสเตอร์การ์ดระบุว่า ความนิยมซื้อเครื่องสำอางออนไลน์เป็นอันดับที่ 5 ประมาณ 25% ส่วนอันดับ 1 คือ บัตรโดยสารเครื่องบิน 33%
อย่างไรก็ตาม คลีนิกข์เองก็มีประสบการณ์บริหารจัดการเว็บไซต์มาตั้งแต่ปี 2543 มีฐานข้อมูลสมาชิกเว็บไซต์มากกว่า 50,000 ราย (www.clinique.co.th) ส่วนเฟซบุ๊กคลีนิกข์ในไทย (facebook.com/Clinique Thailand) มีประมาณ 70,000 ราย เป็นระดับอายุสมาชิก 18-23 ปี มากที่สุด 30% เท่ากับอายุ 24-29 ปี และอยู่ในกรุงเทพฯ มากสุด 45%
บริษัทฯ ไม่ได้คาดหวังว่าช่องทางนี้จะทำรายได้มากนัก เพียงแต่จะเป็นอีกช่องทางที่จะเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น และลูกค้าใหม่ๆ โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนการขายจากช่องทางนี้ประมาณ 2% กับค่าเฉลี่ยทั่วโลก 2-3% ส่วนที่มากที่สุดคือที่ญี่ปุ่นสัดส่วนช่องทางนี้ 5% โดยมาจากช่องทางพีซี 70% และโมบายล์ 30%
สำหรับสินค้าคลีนิกข์ที่ขายผ่านทางช่องทางนี้จะมีราคาปกติ ลูกค้าจะได้บริการที่มากกว่า ส่วนค่าส่งจะคิด 150 บาทสำหรับธรรมดา และด่วนคิดราคา 200 บาท หากซื้อเกิน 3,000 บาทจะบริการส่งฟรีด้วยการบริการจัดส่งของบริษัทดีเคเอสเอช ใช้เวลาประมาณ 1 วันในกรุงเทพฯ และ 2 วันสำหรับต่างจังหวัด และยังมีบริการผ่านบัตรเครดิตด้วย โดยมีพันธมิตรหลักคือกสิกรไทย ซึ่งช่วงทดลองพบว่ามียอดสั่งซื้อจากลูกค้าประมาณไม่เกิน 3,000 บาทต่อคนต่อบิล ขณะที่หากใช้จ่ายในเคาน์เตอร์จะประมาณ 3,700 บาทต่อบิล
นางนันทวัลย์กล่าวต่อว่า ผลประกอบการของแบรนด์คลีนิกข์ปีนี้คาดว่าจะเติบโต 15% ซึ่งมากที่สุดในรอบ 10 ปี โดยครึ่งปีแรกเติบโตแล้ว 19% จากปกติที่ผ่านมาแต่ละปีจะเติบโตเฉลี่ย 7% ส่วนปีที่แล้วเติบโต 10%