“สมคิด” ออกมาเตือนรัฐบาลขึ้นค่าแรง 300 บาทอุตสาหกรรมมีปัญหาแน่ เหตุมูลค่าสินค้าต่างกันแต่ต้องแบกต้นทุนค่าแรงเท่ากัน พร้อมย้ำใช้ประชานิยมเกินไประวังจะพังไว แนะยึดแนวเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี แสดงปาฐกถาพิเศษ “หนทางพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยให้ยั่งยืน” ในงานสัมมนาทางวิชาการ “ลดความเหลื่อมล้ำ” จัดโดยหอการค้าไทย วันนี้ (19 พ.ย.) ว่า การที่รัฐบาลได้โหมใช้โครงการประชานิยม หรือเร่งใช้จ่ายงบประมาณส่งผลดีในระยะสั้นแต่ก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาว อย่างนโยบายการขึ้นค่าจ้างเป็นวันละ 300 บาทระยะสั้นแรงงานได้ประโยชน์ แต่ระยะยาวจะก่อให้เกิดปัญหาต่อภาคธุรกิจจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แข่งขันได้ยากขึ้น เพราะมูลค่าสินค้าไม่เท่ากันแต่ต้องแบกรับต้นทุนค่าแรงเท่ากัน และยิ่งปรับขึ้นราคาสินค้าไม่ได้ก็จะยิ่งมีปัญหา
ทั้งนี้ รัฐบาลต้องเพิ่มอำนาจซื้อให้ประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่แจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่าทำเป็นเหมือนการรดน้ำที่ใบ ไม่ใช่ที่ราก สักวันต้นไม้ก็ต้องตาย
“รัฐบาลต้องหาทางช่วยภาคเกษตรที่มีคนอยู่ 2 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ไม่ใช่ทำให้คนเหล่านี้ตกเป็นเครื่องมือของนโยบายประชานิยม และต้องยึดหลักความพอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมองเห็นและทรงแนะนำแนวทางให้ไว้ อย่าปล่อยให้เหตุการณ์มีปัญหาเหมือนปี 2540 ที่ฟองสบู่แตก อยากให้ทุกคนเห็นบทเรียน”
นายสมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ กล่าวว่า การลดความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลต้องเพิ่มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาคการเกษตร โดยเฉพาะด้านชลประทาน ระบบลอจิสติกส์ และนำนวัตกรรมใหม่เข้าสู่ภาคการเกษตร เพื่อช่วยให้แรงงานภาคเกษตรมีความเป็นอยู่ดีขึ้น แก้ปัญหาแรงงานเกษตรต้องออกไปหารายได้นอกภาคเกษตร
นายมีชัย วีระไวทยะ ประธานมูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ กล่าวว่า การจะลดความเหลื่อมล้ำลงได้ทุกคนต้องเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนความคิดจากเดิม ประชาชนจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วยการมีจิตเป็นสาธารณะ และเข้ามาช่วยในการพัฒนาด้านต่างๆ อย่าหวังที่จะให้ภาครัฐเข้ามาทำให้ ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนเองจะต้องเข้ามาช่วย โดยการคิดนอกกรอบ ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ผู้รับเพื่อให้เกิดความยั่งยืน
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี แสดงปาฐกถาพิเศษ “หนทางพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยให้ยั่งยืน” ในงานสัมมนาทางวิชาการ “ลดความเหลื่อมล้ำ” จัดโดยหอการค้าไทย วันนี้ (19 พ.ย.) ว่า การที่รัฐบาลได้โหมใช้โครงการประชานิยม หรือเร่งใช้จ่ายงบประมาณส่งผลดีในระยะสั้นแต่ก่อให้เกิดปัญหาในระยะยาว อย่างนโยบายการขึ้นค่าจ้างเป็นวันละ 300 บาทระยะสั้นแรงงานได้ประโยชน์ แต่ระยะยาวจะก่อให้เกิดปัญหาต่อภาคธุรกิจจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แข่งขันได้ยากขึ้น เพราะมูลค่าสินค้าไม่เท่ากันแต่ต้องแบกรับต้นทุนค่าแรงเท่ากัน และยิ่งปรับขึ้นราคาสินค้าไม่ได้ก็จะยิ่งมีปัญหา
ทั้งนี้ รัฐบาลต้องเพิ่มอำนาจซื้อให้ประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่แจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่าทำเป็นเหมือนการรดน้ำที่ใบ ไม่ใช่ที่ราก สักวันต้นไม้ก็ต้องตาย
“รัฐบาลต้องหาทางช่วยภาคเกษตรที่มีคนอยู่ 2 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ไม่ใช่ทำให้คนเหล่านี้ตกเป็นเครื่องมือของนโยบายประชานิยม และต้องยึดหลักความพอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมองเห็นและทรงแนะนำแนวทางให้ไว้ อย่าปล่อยให้เหตุการณ์มีปัญหาเหมือนปี 2540 ที่ฟองสบู่แตก อยากให้ทุกคนเห็นบทเรียน”
นายสมภพ มานะรังสรรค์ อธิการบดีสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ กล่าวว่า การลดความเหลื่อมล้ำ รัฐบาลต้องเพิ่มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาคการเกษตร โดยเฉพาะด้านชลประทาน ระบบลอจิสติกส์ และนำนวัตกรรมใหม่เข้าสู่ภาคการเกษตร เพื่อช่วยให้แรงงานภาคเกษตรมีความเป็นอยู่ดีขึ้น แก้ปัญหาแรงงานเกษตรต้องออกไปหารายได้นอกภาคเกษตร
นายมีชัย วีระไวทยะ ประธานมูลนิธิมีชัย วีระไวทยะ กล่าวว่า การจะลดความเหลื่อมล้ำลงได้ทุกคนต้องเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนความคิดจากเดิม ประชาชนจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมด้วยการมีจิตเป็นสาธารณะ และเข้ามาช่วยในการพัฒนาด้านต่างๆ อย่าหวังที่จะให้ภาครัฐเข้ามาทำให้ ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนเองจะต้องเข้ามาช่วย โดยการคิดนอกกรอบ ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ผู้รับเพื่อให้เกิดความยั่งยืน
