“เอทูแซด” ปรับรุกขยายตลาดต่างประเทศหนัก ตั้งเป้าอีก 10 ปีคุมอาเซียนหมด ก่อนขยับชั้นอีก 10 ปีคุมเอเชีย ส่วนตลาดในไทยปรับกลยุทธ์ใหม่เปิดสโตร์ขนาดใหญ่ขึ้นรับมืออินเตอร์แบรนด์บุกไทย ปีหน้าทุ่มไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทขยายอีก 20 สาขา เน้นต่างจังหวัด
นายปิยะ ธนากิจอำนวย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท รีโน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต จำหน่าย และนำเข้าแบรนด์แฟชั่นรวม 9 แบรนด์ เช่น เอทูแซด และคาเมล เป็นต้น เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายธุรกิจด้วยการเปิดร้านเอทูแซดในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนตั้งเป้าว่าภายใน 10 ปีจากนี้จะเปิดร้านเอทูแซดได้ครอบคลุมตลาดอาเซียน และอีก 10 ปีจากนั้นคาดว่าจะสามารถเปิดร้านเอทูแซดได้ทุกประเทศในตลาดเอเชียด้วยเป้าหมายสาขาประมาณ 80-100 สาขา ซึ่งตอนนี้ก็มีคนสนใจทั้งในเวียดนาม อินโดนีเซีย และดูไบ ชักชวนให้เราไปลงทุนเปิดร้านเอทูแซดจำนวนมาก
“ด้วยประสบการณ์การทำตลาดในเอเชียมานานกว่า 10 ปี และประสบการณ์การทำตลาดในประเทศไทยมา 18 ปี ผมมั่นใจว่าร้านเอทูแซดของเราสามารถสู้กับคู่แข่งอินเตอร์แบรนด์แฟชั่นในตลาดต่างประเทศได้แน่นอน”
อีกเหตุผลที่สำคัญมองว่าธุรกิจของคนไทยที่ผ่านอุปสรรคมาหลายรูปแบบทั้งเรื่องความวุ่นวายทางการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ และล่าสุดที่ใหญ่มากคือปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นปีที่แล้ว แต่ผู้ประกอบการแบรนด์สินค้าแฟชั่นของไทยได้ต่อสู้และฝ่าฟันอุปสรรคมาได้ ย่อมทำให้สินค้าไทยแต่ละแบรนด์มีความแข็งแกร่ง และน่าจะสามารถสู้กับคู่แข่งในตลาดอาเซียนได้แน่นอน เพราะหากมองแบรนด์สินค้าแฟชั่นในภูมิภาคเดียวกันนี้แล้วคิดว่ายังไม่เคยมีใครเจอปัญหาดังกล่าวเหมือนกับประเทศไทยเลย
สำหรับแผนรุกธุรกิจในประเทศไทยนั้น นายปิยะกล่าวว่า บริษัทฯ ได้ปรับแผนการเปิดร้านเอทูแซดในไทยใหม่ โดยจะหันมาเปิดร้านในรูปแบบที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นประมาณ 1,000-2,000 ตารางเมตรขึ้นไป จากเดิมที่เปิดร้านขนาดเล็กตั้งแต่ 200 ตร.ม. 500 ตร.ม. และ 700 ตร.ม. เท่านั้น ซึ่งได้เริ่มทดลองเปิดแล้วที่ซีคอนบางแค และเมกะบางนา
“ตั้งแต่เปิดบริการร้านแบบใหม่มาพบว่าได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย จึงทำให้มีความมั่นใจกับรูปแบบนี้”
สาเหตุที่ต้องเปิดร้านขนาดใหญ่นั้น นายปิยะย้ำว่าเป็นเพราะการแข่งขันในตลาดที่รุนแรง โดยเฉพาะการเข้ามารุกตลาดในไทยของอินเตอร์แบรนด์ใหญ่ๆ เช่น เอชแอนด์เอ็ม ที่เปิดร้านขนาดใหญ่ทำให้มีความหลากหลายของสินค้า ดังนั้นเราจึงต้องปรับตัว
ทั้งนี้ แผนการลงทุนในปีหน้า (2556) คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณลงทุนรวม 600-1,000 ล้านบาทเพื่อเปิดสาขาใหม่รวม 20 สาขา ลงทุนเฉลี่ย 30-50 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งจะเน้นการเปิดสาขาในต่างจังหวัดมากกว่ากรุงเทพฯ เพราะผู้บริโภคเริ่มมีกำลังซื้อที่ดีและมากขึ้น
นายปิยะกล่าวด้วยว่า จากแผนงานที่จะขยายสาขาในต่างประเทศมากขึ้น คาดว่าอีก 10 ปีจากนี้จะมีรายได้จากต่างประเทศรวม 4,000 ล้านบาท และคาดว่าในอนาคตยอดขายรวมที่มาจากอาเซียนจะมีมากกว่าสัดส่วนรายได้ในเมืองไทยด้วย โดยปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวมทั้งในไทยและต่างประเทศประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนมาจากตลาดอาเซียนประมาณ 18%
นายปิยะ ธนากิจอำนวย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท รีโน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต จำหน่าย และนำเข้าแบรนด์แฟชั่นรวม 9 แบรนด์ เช่น เอทูแซด และคาเมล เป็นต้น เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายธุรกิจด้วยการเปิดร้านเอทูแซดในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนตั้งเป้าว่าภายใน 10 ปีจากนี้จะเปิดร้านเอทูแซดได้ครอบคลุมตลาดอาเซียน และอีก 10 ปีจากนั้นคาดว่าจะสามารถเปิดร้านเอทูแซดได้ทุกประเทศในตลาดเอเชียด้วยเป้าหมายสาขาประมาณ 80-100 สาขา ซึ่งตอนนี้ก็มีคนสนใจทั้งในเวียดนาม อินโดนีเซีย และดูไบ ชักชวนให้เราไปลงทุนเปิดร้านเอทูแซดจำนวนมาก
“ด้วยประสบการณ์การทำตลาดในเอเชียมานานกว่า 10 ปี และประสบการณ์การทำตลาดในประเทศไทยมา 18 ปี ผมมั่นใจว่าร้านเอทูแซดของเราสามารถสู้กับคู่แข่งอินเตอร์แบรนด์แฟชั่นในตลาดต่างประเทศได้แน่นอน”
อีกเหตุผลที่สำคัญมองว่าธุรกิจของคนไทยที่ผ่านอุปสรรคมาหลายรูปแบบทั้งเรื่องความวุ่นวายทางการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ และล่าสุดที่ใหญ่มากคือปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นปีที่แล้ว แต่ผู้ประกอบการแบรนด์สินค้าแฟชั่นของไทยได้ต่อสู้และฝ่าฟันอุปสรรคมาได้ ย่อมทำให้สินค้าไทยแต่ละแบรนด์มีความแข็งแกร่ง และน่าจะสามารถสู้กับคู่แข่งในตลาดอาเซียนได้แน่นอน เพราะหากมองแบรนด์สินค้าแฟชั่นในภูมิภาคเดียวกันนี้แล้วคิดว่ายังไม่เคยมีใครเจอปัญหาดังกล่าวเหมือนกับประเทศไทยเลย
สำหรับแผนรุกธุรกิจในประเทศไทยนั้น นายปิยะกล่าวว่า บริษัทฯ ได้ปรับแผนการเปิดร้านเอทูแซดในไทยใหม่ โดยจะหันมาเปิดร้านในรูปแบบที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นประมาณ 1,000-2,000 ตารางเมตรขึ้นไป จากเดิมที่เปิดร้านขนาดเล็กตั้งแต่ 200 ตร.ม. 500 ตร.ม. และ 700 ตร.ม. เท่านั้น ซึ่งได้เริ่มทดลองเปิดแล้วที่ซีคอนบางแค และเมกะบางนา
“ตั้งแต่เปิดบริการร้านแบบใหม่มาพบว่าได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย จึงทำให้มีความมั่นใจกับรูปแบบนี้”
สาเหตุที่ต้องเปิดร้านขนาดใหญ่นั้น นายปิยะย้ำว่าเป็นเพราะการแข่งขันในตลาดที่รุนแรง โดยเฉพาะการเข้ามารุกตลาดในไทยของอินเตอร์แบรนด์ใหญ่ๆ เช่น เอชแอนด์เอ็ม ที่เปิดร้านขนาดใหญ่ทำให้มีความหลากหลายของสินค้า ดังนั้นเราจึงต้องปรับตัว
ทั้งนี้ แผนการลงทุนในปีหน้า (2556) คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณลงทุนรวม 600-1,000 ล้านบาทเพื่อเปิดสาขาใหม่รวม 20 สาขา ลงทุนเฉลี่ย 30-50 ล้านบาทต่อสาขา ซึ่งจะเน้นการเปิดสาขาในต่างจังหวัดมากกว่ากรุงเทพฯ เพราะผู้บริโภคเริ่มมีกำลังซื้อที่ดีและมากขึ้น
นายปิยะกล่าวด้วยว่า จากแผนงานที่จะขยายสาขาในต่างประเทศมากขึ้น คาดว่าอีก 10 ปีจากนี้จะมีรายได้จากต่างประเทศรวม 4,000 ล้านบาท และคาดว่าในอนาคตยอดขายรวมที่มาจากอาเซียนจะมีมากกว่าสัดส่วนรายได้ในเมืองไทยด้วย โดยปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวมทั้งในไทยและต่างประเทศประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนมาจากตลาดอาเซียนประมาณ 18%