ไออาร์พีซีเสนอตัวเป็นผู้ให้บริการเช่าคลังน้ำมันต่อภาครัฐตามแผนสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ 90 วัน ยันมีคลังน้ำมันพร้อมอยู่แล้ว 1 ล้านบาร์เรล และเพิ่มได้อีก 1 ล้านบาร์เรลในพื้นที่เดียวกัน รวมทั้งศึกษาความเป็นได้ในการสร้างคลังใหม่ในพื้นที่ต้องข้ามเขตประกอบการฯไออาร์พีซีไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาร์เรล เผยปีหน้าโครงการภายใต้ฟินิกซ์แล้วเสร็จอีก 2 โครงการ ส่วนขยายABS-EBSM
นายอธิคม เติบศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)(IRPC) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีความพร้อมที่จะให้บริการเช่าคลังน้ำมันเพื่อการสำรองทางยุทธศาสตร์ 90 วันตามนโยบายภาครัฐจากปัจจุบันที่มีการสำรองเฉพาะภาคเอกชนรวม 36 วัน โดยมีคลังน้ำมันสำรองได้ถึง 1 ล้านบาร์เรลตั้งอยู่ในเขตประกอบการอุตสาหกรรมไออาร์พีซีที่เชิงเนิน จ.ระยอง และสามารถสร้างคลังน้ำมันเพิ่มอีก 1 ล้านบาร์เรล รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ที่จะสร้างคลังน้ำมันเพิ่มเติมในพื้นที่ฝั่งถนนตรงข้ามเขตประกอบการไออาร์พีซีว่าจะต้องใช้เงินลงทุนเท่าใด มั่นใจว่าสามารถสร้างคลังน้ำมันได้ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาร์เรล
ทั้งนี้ ไออาร์พีซีมีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้ให้บริการเช่าคลังน้ำมันตามแผนการสำรองน้ำมันดิบทางยุทธศาสตร์ 90 วัน เพราะมีท่าเรือน้ำมันลึกรองรับเรือขนาด 2.5 หมื่นเดเวทตันได้ ซึ่งปัจจุบันไออาร์พีซีก็มีการเก็บสำรองน้ำมันอยู่แล้ว 40 วัน สูงกว่ากฎหมายกำหนดอยู่แล้ว เนื่องจากบริษัทฯนำเข้าน้ำมันดิบทั้งหมดมาใช้ในโรงกลั่นขนาด 2.15 ล้านบาร์เรล/วัน
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีคลังเก็บน้ำมันสำเร็จรูปอีก 3 แห่งที่พระประแดง จ.สมุทรปราการ จ.ชุมพรและจ.อยุธยา คิดเป็นความจุ 2.7 ล้านตัน ซึ่งคลังน้ำมันดังกล่าวเปิดให้เอกชนเช่าเก็บปิโตรเลียมและปิโตรเคมีอยู่แล้ว
ส่วนกรณีที่รัฐให้ภาคเอกชนสำรองน้ำมันตามกฎหมายเพิ่มขึ้นจาก 5%เป็น 6%ของการใช้หรือสำรองเพิ่มขึ้นจาก 36 วันเป็น 45 วันนั้น บริษัทไม่มีปัญหาต้องสร้างถังเก็บน้ำมันสำรองเพิ่มขึ้นเหมือนโรงกลั่นอื่นๆ แต่มีภาระที่ต้องใช้เงินสูงถึง 3 พันกว่าล้านบาทในการสำรองน้ำมันเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรลตามกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้คงต้องหารือกับกระทรวงพลังงานว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบภาระที่เกิดขึ้นหรือมีมาตรการอะไรมาช่วยเหลือ เพราะหากให้บริษัทฯภาระเองเป็นเรื่องหนัก เพราะธุรกิจโรงกลั่นมีความผันผวนสูงมาก ทำให้ค่าการกลั่นน้ำมัน(GRM)ต่ำอยู่แล้ว
นายอธิคม กล่าวถึงมติกพช.ที่เห็นชอบเลิกจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 ในวันที่ 1 ม.ค.56เป็นต้นไปว่า โรงกลั่นน้ำมันไออาร์พีซีสามารถดำเนินการได้ทันทีโดยไม่ทำให้บาลานซ์การผลิตเปลี่ยนแปลงไปเหมือนโรงกลั่นอื่นๆ เพราะขบวนการกลั่นของไออาร์พีซีจะได้Heavy Napthaค่อนข้างมาก ซึ่งดีสำหรับการนำมาผสมกับเอทานอลในการผลิตแก๊สโซฮอล์
สำหรับการดำเนินงานในปี 2556 บริษัทฯมีโครงการที่จะแล้วเสร็จอีก 2 โครงการภายใต้ฟินิกซ์ คือ โครงการเพิ่มกำลังการผลิตAcrylonitrile Butandien Styrene (ABS) เพิ่มอีก 6 หมื่นตันจากปัจจุบันผลิตอยู่ 1 แสนตัน/ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนก.พ. 2556 และโครงการขยายกำลังการผลิตEthylbenzene Styrene Monomer (EBSM) เพิ่มขึ้นอีก 6 หมื่นตันเป็น 1.6 แสนตัน/ปี จะแล้วเสร็จในเดือนส.ค. 2556
ในปีนี้บริษัทฯมีโครงการที่อยู่ภายใต้ฟินิกซ์แล้วเสร็จ 2 โครงการ คือ โครงการผลิตน้ำมันยางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม(TDAE) แล้วเสร็จเมื่อไตรมาส 1/2555 และโครงการโพรพิลีน บูสเตอร์ อีก 1 แสนตัน/ปีคาดว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ในสัปดาห์นี้
ส่วนโครงการ Upstream Project for Hygiene and Value Added Products (UHV) ผลิตโพรพิลีน 3.2 แสนตัน/ปีใช้เงินลงทุน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นโครงการที่ใช้เงินลงทุนมากสุดภายใต้ฟินิกซ์ที่มีการลงทุนรวม 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ จะ ทำให้โรงกลั่นไออาร์พีซีสามารถกลั่นน้ำมันได้เต็มกำลังผลิต 2.15 แสนบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันที่กลั่นอยู่เพียง 1.7-1.8 แสนบาร์เรล/วัน รวมทั้งมีการลงทุนติดตั้งเครื่องกำจัดสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย ทำให้บริษัทสามารถเลือกใช้น้ำมันดิบที่มีความหลากหลายมากขึ้น
ขณะนี้โครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการว่าจ้างผู้รับเหมาออกแบบวิศวกรรม คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2558 ทำให้บริษัทฯเป็นผู้ผลิตโพรพิลีนใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย ด้วยกำลังการผลิต 7.4 แสนตัน/ปี นอกจากนี้บริษัทฯยังอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนโครงการฟินิกซ์เฟส 2 ด้วย