xs
xsm
sm
md
lg

ทุนภูธรรุกบิวตี้ กทม. หั่นมาร์จิ้นชนเชนนอก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หิรัญ ตันมิตร ผู้จัดการร้าน EVEANDBOY
ทุนภูธรมหาสารคามรุกกรุงเทพฯ ลุยค้าปลีกความงาม “อีฟแอนด์บอย” หลังฐานเดิมซูเปอร์มาร์เกตถูกโชวห่วยทุบจนเดี้ยง ชูราคาถูกสู้เชนยักษ์ใหญ่ หั่นมาร์จิ้นเหลือแค่ 15% เป็นจุดแข็ง

นายหิรัญ ตันมิตร ผู้จัดการร้านอีฟแอนด์บอย (EVEANDBOY) ดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าความงาม เปิดเผยว่า ยอมรับว่าแบรนด์อีฟแอนด์บอยนี้ยังใหม่ในตลาดรวมและยังไม่มีใครรู้จักมากนักในตลาดกรุงเทพฯ เนื่องจากฐานธุรกิจเดิมอยู่ที่จังหวัดมหาสารคาม และเป็นแบรนด์ท้องถิ่นของคนไทยเอง แต่ขณะนี้บริษัทฯ พร้อมที่จะขยายตลาดเชิงรุกแล้ว

บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะเข้ามารุกในตลาดกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่และมีโอกาสเติบโตค่อนข้างมาก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องพื้นที่กับทางเซ็นทรัลอยู่หลายโครงการ โดยล่าสุดได้เปิดสาขาแรกที่กรุงเทพฯ ที่สยามสแควร์ ซอย 1 ซึ่งเป็นสาขาที่ 4 ของบริษัทฯ โดยตั้งเป้าหมายว่าภายใน 3 ปีจากนี้จะมีสาขาเพิ่มอีก 4-5 แห่ง และภายใน 10 ปีจากนี้จะมี 20 สาขาในกรุงเทพฯ จากปัจจุบันมีรวม 4 สาขาแล้ว คือที่มหาสารคาม และที่ขอนแก่น 2 สาขา

“จุดแข็งของเราที่จะนำมาต่อสู้กับรายใหญ่ในตลาดที่มีความแข็งแรงทั้งแบรนด์และจำนวนสาขาคือเรื่องของราคา ซึ่งสินค้าเรารับมาจากซัปพลายเออร์ราคาไม่ต่างกันกับคู่แข่ง แต่เราตั้งราคาขายต่ำกว่า โดยคิดมาร์จิ้นแค่ 15% เท่านั้น ในขณะที่คู่แข่งยักษ์ใหญ่จะคิดมาร์จิ้นสูงถึง 30% ขึ้นไป ทำให้คู่แข่งมีราคาจำหน่ายที่แพงกว่าของเรา มากกว่า 30-40% เป็นข้อได้เปรียบที่เราจะสู้กับคู่แข่ง”

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สาขาแรกในกรุงเทพฯ ที่สยามสแควร์นั้นปรากฏว่ามีร้านวัตสันเปิดประกบในรัศมีไม่ห่างกันล้อมรอบร้านอีฟแอนด์บอยรวมถึง 3 สาขา อีกทั้งยังมีการจัดกิจกรรมเพื่อดึงคนเข้าร้านเต็มที่

ตัวอย่างสินค้าที่อีฟแอนด์บอยจำหน่ายต่ำกว่าร้านยักษ์ใหญ่ เช่น น้ำหอมเวอร์ซาเช่ที่อื่นขาย 3,900 บาท แต่ที่ร้านขาย 2,700 บาท, น้ำหอมมองต์บลังก์ ที่อื่นขาย 3,450 บาท ที่ร้านขาย 2,310 บาท, น้ำหอมอิปเซ่มิยาเกะที่อื่นขาย 4,100 บาท ที่ร้านขาย 2,780 บาท เป็นต้น และบางครั้งยังมีโปรโมชันลดราคาถึง 60% แล้วแต่สินค้า ซึ่งที่ผ่านมาสัดส่วนยอดขายมาจากน้ำหอมมากกว่า 30%

ปัจจุบันมีสินค้าในร้านประมาณ 10,000 เอสเคยู หรือมากกว่า 350 แบรนด์สินค้า รวมทั้งเฮาส์แบรนด์ของเราเองที่ชื่อว่า VERENA ซึ่งที่ผ่านมายอดขายในต่างจังหวัดมีประมาณ 10 ล้านบาทต่อเดือนต่อสาขา มีปริมาณลูกค้าเข้าร้าน 800 คนต่อวันต่อสาขา มียอดซื้อต่อบิลประมาณ 500 บาทต่อคนต่อครั้ง ขณะที่ในกรุงเทพฯ ยอดซื้อประมาณ 800 บาทต่อคนต่อครั้ง โดยคาดว่ารายได้รวมปีนี้จะมีประมาณ 400
ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่มี 300 ล้านบาท โดยมียอดสมาชิกในต่างจังหวัด 20,000 กว่าราย และในกรุงเทพฯ 2,000 กว่าราย

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีแผนในอนาคตที่จะขยายช่องทางจำหน่ายในรูปแบบของออนไลน์ด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและเตรียมการ รวมไปถึงการเปิดขายแฟรนไชส์ร้านอีฟแอนด์บอยในอนาคตด้วย เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้สนใจติดต่อเข้ามาเป็นจำนวนมาก แต่ทั้งนี้บริษัทฯ ต้องการสร้างแบรนด์และธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งมากกว่านี้ก่อน

สำหรับจุดเริ่มต้นของธุรกิจนี้ นายหิรัญกล่าวว่า ทางครอบครัวได้ตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกความงามหลังจากที่ตัดสินใจเลิกทำธุรกิจค้าปลีกซูเปอร์มาร์เกตเมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่ทำมานานกว่า 30 ปีในชื่อว่า “สารคามซูเปอร์มาร์เก็ต” ซึ่งมีเพียงสาขาเดียวที่จังหวัดมหาสารคาม เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่โมเดิร์นเทรดประเภทไฮเปอร์มาร์เกตมีการเติบโตอย่างมากเข้ามาขยายสาขาในต่างจังหวัดเต็มไปหมด ส่งผลกระทบต่อธุรกิจซูเปอร์มาร์เกตของเราอย่างมาก สุดท้ายจึงตัดสินใจเลิกทำ
ขณะที่ครอบครัวมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านค้าปลีกรวมทั้งสายสัมพันธ์ที่ดีกับทางซัปพลายเออร์อยู่แล้วจึงได้พิจารณาหาแนวทางในการทำธุรกิจรูปแบบใหม่จึงได้เกิดเป็นร้านอีฟแอนด์บอยขึ้นมา เป็นร้านค้าปลีกที่ขายสินค้าเกี่ยวกับความงามทั้งเครื่องสำอาง น้ำหอมแบรนด์ต่างประเทศ ซึ่งเปิดสาขาแรกเมื่อปี 2547 ที่จังหวัดมหาสารคาม ปัจจุบันเปิดเพิ่มอีกที่ขอนแก่น 2 สาขา
กำลังโหลดความคิดเห็น