ปตท.เคมิคอลฯ มั่นใจ กนอ.ไฟเขียวให้โครงการส่วนขยายMEG 9.6 หมื่นตันเดินเครื่องได้ ต.ค.นี้ หลังปฏิบัติตามขั้นตอนตาม ม.67 วรรค 2 เรียบร้อยแล้ว ทำให้รับรู้รายได้จากโครงการดังกล่าวในไตรมาส 4 นี้ แย้มเตรียมชงบอร์ดทบทวนโครงการลงทุนใหม่ 5 ปีข้างหน้า วงเงินรวม 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการโครงการส่วนขยายโมโนเอทิลีนไกลคอล (MEG) ของทีโอซี ไกลคอล กับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คาดว่า กนอ.จะพิจารณาอนุมัติภายใน 60 วัน โดยบริษัทคาดว่าในเดือนตุลาคมนี้จะได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการได้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการทดสอบเดินเครื่องจักรส่วนขยายโครงการดังกล่าว ดังนั้น ในปลายปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้จากโครงการส่วนขยาย MEG เพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันราคา MEG อยู่ที่ 1,500-1,600 เหรียญาสหรัฐ/ตัน อยู่ในระดับราคาที่สูงกว่าราคาเม็ดพลาสติก
โครงการส่วนขยาย MEG ได้ล่าช้าจากเดิมกว่า 2 ปี เนื่องจากเป็นหนึ่งในโครงการในมาบตาพุดที่ถูกศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับการดำเนินกิจกรรมทั้งหมดจนกว่าจะดำเนินการตามมาตรา 67 วรรค 2 โดยจะต้องทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชน (EHIA) โดยโครงการนี้มีกำลังการผลิต 9.6 หมื่นตัน/ปีจากปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิต MEG อยู่ 3 แสนตัน
นายอนนต์กล่าวต่อไปว่า ตามแผนการลงทุน 5 ปีนี้ (2556-2570) ได้ตั้งงบลงทุนไว้ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะนี้บริษัทเตรียมเสนอคณะกรรมการบริษัทพิจารณาทบทวนโครงการลงทุนต่างๆ ใหม่ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายปีนี้ โดยโครงการใหม่จะต้องเป็นโครงการที่สนับสนุนการเติบโตของบริษัทที่มุ่งเน้นการเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง (High Margin) มีอัตราการเติบโตสูง (High Growth) และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green) ซึ่งจะเป็นเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษที่ป้อนอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยโครงการใหม่นี้จะต้องมีผลตอบแทนการลงทุนไม่ต่ำกว่า 14% และไม่ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) เกินกว่า 0.7 เท่า
//////////////////
นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นขอใบอนุญาตประกอบกิจการโครงการส่วนขยายโมโนเอทิลีนไกลคอล (MEG) ของทีโอซี ไกลคอล กับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คาดว่า กนอ.จะพิจารณาอนุมัติภายใน 60 วัน โดยบริษัทคาดว่าในเดือนตุลาคมนี้จะได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการได้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการทดสอบเดินเครื่องจักรส่วนขยายโครงการดังกล่าว ดังนั้น ในปลายปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้จากโครงการส่วนขยาย MEG เพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันราคา MEG อยู่ที่ 1,500-1,600 เหรียญาสหรัฐ/ตัน อยู่ในระดับราคาที่สูงกว่าราคาเม็ดพลาสติก
โครงการส่วนขยาย MEG ได้ล่าช้าจากเดิมกว่า 2 ปี เนื่องจากเป็นหนึ่งในโครงการในมาบตาพุดที่ถูกศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับการดำเนินกิจกรรมทั้งหมดจนกว่าจะดำเนินการตามมาตรา 67 วรรค 2 โดยจะต้องทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชน (EHIA) โดยโครงการนี้มีกำลังการผลิต 9.6 หมื่นตัน/ปีจากปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิต MEG อยู่ 3 แสนตัน
นายอนนต์กล่าวต่อไปว่า ตามแผนการลงทุน 5 ปีนี้ (2556-2570) ได้ตั้งงบลงทุนไว้ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะนี้บริษัทเตรียมเสนอคณะกรรมการบริษัทพิจารณาทบทวนโครงการลงทุนต่างๆ ใหม่ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายปีนี้ โดยโครงการใหม่จะต้องเป็นโครงการที่สนับสนุนการเติบโตของบริษัทที่มุ่งเน้นการเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง (High Margin) มีอัตราการเติบโตสูง (High Growth) และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green) ซึ่งจะเป็นเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษที่ป้อนอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยโครงการใหม่นี้จะต้องมีผลตอบแทนการลงทุนไม่ต่ำกว่า 14% และไม่ทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) เกินกว่า 0.7 เท่า
//////////////////
