บีโอไอเผยผลศึกษาและวิเคราะห์ความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติในประเทศไทยประจำปี 2555 พบ 65.2% ยังรักษาระดับการลงทุนในไทย และ 31.62% มีแผนขยายกิจการในปีนี้ โดยเหตุผลสำคัญในการรักษาระดับการลงทุนหรือขยายกิจการในไทย นักลงทุนให้ความสำคัญต่อสิทธิประโยชน์ของบีโอไอเป็นปัจจัยหลัก รองลงมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ดี
นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผยถึงการศึกษา “โครงการศึกษาและวิเคราะห์ความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติในประเทศไทยประจำปี 2555” โดยสำนักงานฯ ได้คัดเลือกและมอบหมายให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาระบบสารสนเทศระหว่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งได้ส่งแบบสอบถามให้บริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทั้งกลุ่มที่ได้รับและไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ รวม 3,228 ราย พบว่ามีการส่งแบบสอบถามกลับมาจำนวน 408 ราย และอีกกว่า 30 รายที่ได้ดำเนินการสัมภาษณ์เชิงลึก และพบว่าระหว่างปี 2555-2556 นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ 65.20% ยังคงรักษาระดับการลงทุนที่มีในประเทศไทย และอีก 31.62% มีแผนที่จะขยายกิจการในปี 2555 นี้
โดยเหตุผลหลักที่ใช้ในการตัดสินใจในทิศทางดังกล่าวคือ สิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากบีโอไอมากที่สุดถึง 73.14% ส่วนเหตุผลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในลำดับถัดมา คือ 62.77% เชื่อมั่นว่าไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอ ขณะที่เหตุผลอันดับสามคือ ด้านแรงงาน พบว่า 42.82% เชื่อมั่นว่าไทยมีแรงงานเพียงพอ
นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในปัจจุบันกับประเทศคู่แข่ง 9 ประเทศ ได้แก่ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา สปป.ลาว สหภาพพม่า และเวียดนาม พบว่าสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนของ BOI การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล กฎหมายศุลกากร ความสะดวกในการประกอบธุรกิจ การเข้าถึงแหล่งเงินกู้ ระบบขนส่ง สาธารณูปโภค ไทยเหนือกว่าคู่แข่งทั้ง 9 ประเทศ
ในส่วนการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ พบว่าปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในบางประเทศและปัญหาภัยทางธรรมชาติไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของนักลงทุน โดยยังเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในปี 2555 นี้ และเชื่อว่าจะมีรายได้และกำไรเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อน