เอกชนท่องเที่ยวหนุนรัฐศึกษาโครงการสร้างกาสิโน ชี้ทุกฝ่ายควรยอมรับความจริงว่าปัจจุบันคนไทยและชาวต่างชาติบางกลุ่มนิยมเดินทางเข้ากาสิโนในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่เงินส่วนนั้นควรเสียให้แก่ประเทศไทย ระบุหากไม่ต้องการให้คนไทยเล่นก็ตั้งกฎบังคับให้หนักแน่น ยันกาสิโนจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างรายได้เข้าประเทศ
นายยุทธชัย สุนทรรัตนเวช นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) เปิดเผยว่า สทน. และสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เห็นตรงกันว่า ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลไทยควรยอมรับความจริงเรื่องที่คนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติบางกลุ่มนิยมที่จะเดินทางออกไปเล่นการพนันในกาสิโนของประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย ทำให้เงินที่ควรจะตกอยู่ในประเทศไทยกลับไหลออกไปต่างประเทศ ดังนั้นจึงเตรียมยื่นหนังสือไปยังกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขอให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดกาสิโนในประเทศไทย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทยมากขึ้น
“ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลควรยอมรับความจริง และอยู่กับความจริง สร้างให้เกิดประโยชน์ และหากรัฐบาลกังวลว่าเปิดกาสิโนแล้วจะเป็นการส่งเสริมให้คนไทยเล่นการพนัน ก็ให้ตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาว่าเปิดเพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าไปใช้บริการเท่านั้น”
หากรัฐเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ การตั้งกาสิโนจะใช้พื้นที่ของเขตเศรษฐกิจพิเศษที่รัฐตั้งขึ้นมาเฉพาะ พร้อมแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ให้สามารถเปิดกาสิโนได้ และเปิดสัมปทานให้เอกชนที่สนใจเข้าไปลงทุน ตั้งเกณฑ์ว่าต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท โดยเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้รัฐอาจกำหนดใช้พื้นที่ที่ห่างไกลที่ยังขาดการพัฒนามาดำเนินการจะได้เป็นการพัฒนาพื้นที่ด้วย และในสัญญาสัมปทานต้องระบุว่าไม่อนุญาติให้คนไทยเข้าไปเล่น หากคู่สัญญาที่ได้รับสัมปทาน ละเลยรัฐมีสิทธิยกเลิกสัมปทานนั้นได้ทันที
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการตั้งกาสิโนในประเทศไทย หากรัฐบาลคิดทำขึ้นมาจริงๆ จะต้องรับแรงกดดันสูงมากจากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย และกลุ่มที่เสียผลประโยชน์ เพราะหากไทยมีกาสิโนเกิดขึ้นจริงจะถือเป็นคู่แข่งสำคัญของประเทศที่มีกาสิโนอยู่แล้ว เพราะจะยิ่งทำให้ไทยมีจุดขายที่หลากหลายมากขึ้น
นายยุทธชัยกล่าวอีกว่า เอกชนยังเห็นด้วยกับแนวคิดการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง แต่จากกระแสที่มีการต่อต้านจึงต้องการเสนอว่ารัฐควรทำประชาพิจารณ์เชิญเอกชนภาคท่องเที่ยวจากส่วนกลาง รวมทั้งนักอนุรักษ์ธรรมชาติ และคนในพื้นที่ มาแสดงข้อมูลของแต่ละฝ่าย และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ร่วมกัน เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจว่าการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึงมีผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน และสมควรที่จะสร้างหรือไม่
นายยุทธชัย สุนทรรัตนเวช นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) เปิดเผยว่า สทน. และสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เห็นตรงกันว่า ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลไทยควรยอมรับความจริงเรื่องที่คนไทย และนักท่องเที่ยวต่างชาติบางกลุ่มนิยมที่จะเดินทางออกไปเล่นการพนันในกาสิโนของประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับประเทศไทย ทำให้เงินที่ควรจะตกอยู่ในประเทศไทยกลับไหลออกไปต่างประเทศ ดังนั้นจึงเตรียมยื่นหนังสือไปยังกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขอให้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดกาสิโนในประเทศไทย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทยมากขึ้น
“ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลควรยอมรับความจริง และอยู่กับความจริง สร้างให้เกิดประโยชน์ และหากรัฐบาลกังวลว่าเปิดกาสิโนแล้วจะเป็นการส่งเสริมให้คนไทยเล่นการพนัน ก็ให้ตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาว่าเปิดเพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าไปใช้บริการเท่านั้น”
หากรัฐเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ การตั้งกาสิโนจะใช้พื้นที่ของเขตเศรษฐกิจพิเศษที่รัฐตั้งขึ้นมาเฉพาะ พร้อมแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ให้สามารถเปิดกาสิโนได้ และเปิดสัมปทานให้เอกชนที่สนใจเข้าไปลงทุน ตั้งเกณฑ์ว่าต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท โดยเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้รัฐอาจกำหนดใช้พื้นที่ที่ห่างไกลที่ยังขาดการพัฒนามาดำเนินการจะได้เป็นการพัฒนาพื้นที่ด้วย และในสัญญาสัมปทานต้องระบุว่าไม่อนุญาติให้คนไทยเข้าไปเล่น หากคู่สัญญาที่ได้รับสัมปทาน ละเลยรัฐมีสิทธิยกเลิกสัมปทานนั้นได้ทันที
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการตั้งกาสิโนในประเทศไทย หากรัฐบาลคิดทำขึ้นมาจริงๆ จะต้องรับแรงกดดันสูงมากจากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย และกลุ่มที่เสียผลประโยชน์ เพราะหากไทยมีกาสิโนเกิดขึ้นจริงจะถือเป็นคู่แข่งสำคัญของประเทศที่มีกาสิโนอยู่แล้ว เพราะจะยิ่งทำให้ไทยมีจุดขายที่หลากหลายมากขึ้น
นายยุทธชัยกล่าวอีกว่า เอกชนยังเห็นด้วยกับแนวคิดการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึง แต่จากกระแสที่มีการต่อต้านจึงต้องการเสนอว่ารัฐควรทำประชาพิจารณ์เชิญเอกชนภาคท่องเที่ยวจากส่วนกลาง รวมทั้งนักอนุรักษ์ธรรมชาติ และคนในพื้นที่ มาแสดงข้อมูลของแต่ละฝ่าย และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ร่วมกัน เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจว่าการสร้างกระเช้าขึ้นภูกระดึงมีผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน และสมควรที่จะสร้างหรือไม่
