เอกชนวงการนมชี้ ครม.ออกกฎคุมเข้มห้ามโฆษณานมไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เอื้อรายใหญ่ทำตลาดง่ายขึ้น ส่วนรายใหม่เดี้ยงแน่
นายสมบุญ ประสิทธิ์จูตระกูล ประธานอำนวยการประเทศไทย บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ เปิดเผยถึงกรณีที่มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมาเห็นชอบออกมาตรการกำกับดูแลเกี่ยวกับการทำการตลาดและการโฆษณานมสำหรับทารกและเด็กเล็ก โดยมองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใดสำหรับผู้ประกอบการ เพราะแต่เดิมทุกวันนี้ก็มีกฎหมายการห้ามโฆษณานมและสินค้าสำหรับเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปีอยู่แล้ว และผู้ประกอบการต่างก็ปฏิบัติตามกฎขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO อย่างเคร่งครัด
สิ่งที่น่าเป็นห่วงหลังจากมาตรการนี้ออกมาก็คือ ผู้ประกอบการรายเล็กจะทำตลาดยากมากขึ้น โดยเฉพาะรายที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ๆ เพราไม่สามารถโฆษณาสินค้าเพื่อสร้างแบรนด์ได้ ขณะที่แบรนด์เก่าที่อยู่ในตลาดและสร้างแบรนด์เป็นที่รู้จักอยู่แล้วจะได้เปรียบในด้านของการแข่งขัน
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมนมกล่าวถึงมาตรการห้ามโฆษณานมสำหรับทารกและเด็กเล็กที่ภาครัฐออกมาว่า เท่ากับเป็นการเอื้อประโยชน์แก่เจ้าของผลิตภัณฑ์นมสำหรับทารกและเด็กเล็กรายใหญ่หรือผู้นำตลาดมากกว่า เนื่องจากการออกมาตรการควบคุมลักษณะดังกล่าวคล้ายคลึงกับการเข้าไปกำกับดูแลสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่กระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของสินค้ารายใหญ่ที่มีส่วนแบ่งสูงในตลาดนมสำหรับทารกหรือเด็กเล็กที่มีการทำตลาดและโฆษณาผ่านสื่อในช่วงก่อนหน้านี้ หรือกว่าสิบปีที่ผ่านมา จากกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคมีการจดจำแบรนด์สินค้าดั้งเดิมได้เป็นอย่างดี
“จริงๆ แล้วถ้าหากกระทรวงสาธารณสุขต้องการที่จะรณรงค์ให้มีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็เป็นเรื่องที่ดี ซึ่งควรไปควบคุมการใช้คำบรรยายการโฆษณาเพื่อการส่งเสริมการดื่มนมแม่ไปยังกลุ่มเป้าหมายได้จริงและโดยตรง ซึ่งน่าจะเป็นวิธีการที่ดีต่ออุตสาหกรรมนมในภาพรวมมากกว่า ด้วยมาตรการดังกล่าวอาจกระทบกิจกรรมรณรงค์การส่งเสริมให้มีการดื่มนมในภาพรวมของประเทศ”
นายสมบุญ ประสิทธิ์จูตระกูล ประธานอำนวยการประเทศไทย บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ เปิดเผยถึงกรณีที่มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมาเห็นชอบออกมาตรการกำกับดูแลเกี่ยวกับการทำการตลาดและการโฆษณานมสำหรับทารกและเด็กเล็ก โดยมองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใดสำหรับผู้ประกอบการ เพราะแต่เดิมทุกวันนี้ก็มีกฎหมายการห้ามโฆษณานมและสินค้าสำหรับเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปีอยู่แล้ว และผู้ประกอบการต่างก็ปฏิบัติตามกฎขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO อย่างเคร่งครัด
สิ่งที่น่าเป็นห่วงหลังจากมาตรการนี้ออกมาก็คือ ผู้ประกอบการรายเล็กจะทำตลาดยากมากขึ้น โดยเฉพาะรายที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ๆ เพราไม่สามารถโฆษณาสินค้าเพื่อสร้างแบรนด์ได้ ขณะที่แบรนด์เก่าที่อยู่ในตลาดและสร้างแบรนด์เป็นที่รู้จักอยู่แล้วจะได้เปรียบในด้านของการแข่งขัน
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมนมกล่าวถึงมาตรการห้ามโฆษณานมสำหรับทารกและเด็กเล็กที่ภาครัฐออกมาว่า เท่ากับเป็นการเอื้อประโยชน์แก่เจ้าของผลิตภัณฑ์นมสำหรับทารกและเด็กเล็กรายใหญ่หรือผู้นำตลาดมากกว่า เนื่องจากการออกมาตรการควบคุมลักษณะดังกล่าวคล้ายคลึงกับการเข้าไปกำกับดูแลสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่กระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของสินค้ารายใหญ่ที่มีส่วนแบ่งสูงในตลาดนมสำหรับทารกหรือเด็กเล็กที่มีการทำตลาดและโฆษณาผ่านสื่อในช่วงก่อนหน้านี้ หรือกว่าสิบปีที่ผ่านมา จากกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคมีการจดจำแบรนด์สินค้าดั้งเดิมได้เป็นอย่างดี
“จริงๆ แล้วถ้าหากกระทรวงสาธารณสุขต้องการที่จะรณรงค์ให้มีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็เป็นเรื่องที่ดี ซึ่งควรไปควบคุมการใช้คำบรรยายการโฆษณาเพื่อการส่งเสริมการดื่มนมแม่ไปยังกลุ่มเป้าหมายได้จริงและโดยตรง ซึ่งน่าจะเป็นวิธีการที่ดีต่ออุตสาหกรรมนมในภาพรวมมากกว่า ด้วยมาตรการดังกล่าวอาจกระทบกิจกรรมรณรงค์การส่งเสริมให้มีการดื่มนมในภาพรวมของประเทศ”
