เอกชนมองส่งออกปีนี้โต 8% เก่งสุด แนะรัฐบาลต้องปรับแผนกลยุทธ์ดันส่งออกไทยไปตลาดใหม่อย่างเป็นระบบ เหตุวิกฤตอียูซึมยาว
นายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากตัวเลขการส่งออกเดือน มิ.ย. 55 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.2% โดยมีมูลค่า 19,770 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่าวิกฤตเศรษฐกิจอียู และเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่ยังไร้แววฟื้นตัวมีผลต่อการส่งออกไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมมาก ดังนั้น ส่งออกปีนี้จะขยายตัว 15% แทบเป็นไปไม่ได้ ส่วนตัวประเมินว่าโต 8% น่าจะมากที่สุดแล้ว
“เศรษฐกิจทั้งยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่นยังไม่ดีนัก ขณะที่ตลาดใหม่อย่างรัสเซีย อินเดีย รวมถึงอาเซียนก็ยังเติบโตได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นส่งออกย่อมได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่จะมากน้อยเพียงใดก็อยู่ที่การตั้งรับของเอกชนและรัฐบาลประกอบด้วย” นายสมมาตกล่าว
รัฐบาลจำเป็นจะต้องปรับกลยุทธ์ในการทำตลาดส่งออกของไทยที่มุ่งเน้นตลาดใหม่ทั้ง อาเซียน อินเดีย รัสเซีย และตะวันออกกลาง ให้เป็นแบบแผนมากขึ้นกว่าปัจจุบันโดยต้องกำหนดเป้าหมายหรือโฟกัสสินค้าที่ไทยมีศักยภาพแต่ละประเทศให้ชัดเจนเพื่อเป็นฐานข้อมูลให้เอกชนได้รับทราบเพื่อที่จะรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจสหภาพยุโรป หรืออียูที่คาดว่าจะซึมยาว
“แหล่งข้อมูลสำคัญๆ อยู่ที่รัฐ แต่ยังไม่เป็นระบบฐานข้อมูลที่ดีพอในการส่งสัญญาณไปยังเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม หรือเอสเอ็มอี” นายสมมาตกล่าว
นายวิศิษฎ์ ลิ้มประนะ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร ส.อ.ท. กล่าวว่า อุตสาหกรรมอาหารปีนี้ยังหวังที่จะโตตามเป้าหมายที่วางไว้ 6-7% จากปีก่อน เนื่องจากอาหารยังเป็นสินค้าจำเป็นและส่วนหนึ่งยังมีตลาดเอเชียเข้ามาเสริม อย่างไรก็ตาม ปัญหาวิกฤตอียูทำให้ลูกค้ามีคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) เปลี่ยนเป็นระยะสั้น 1-2 เดือนแทนระยะยาว 6 เดือนถึง 1 ปี เนื่องจากลูกค้าวิตกปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนส่งผลต่อการประเมินทิศทางได้ยาก
“ภาพรวมเรายังคิดว่าไม่น่าเลวร้ายสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร แต่ประเมินชัดๆ ยากเพราะออเดอร์เป็นระยะสั้นมากขึ้น คงต้องดูอีก 1-2 เดือนเพราะส่วนใหญ่ออเดอร์จะมามากช่วงก่อนสิ้นปีนี้ ส่วนมาตรการที่อยากให้รัฐเข้ามาดูแลผลกระทบจากวิกฤตอียู นอกเหนือจากการหาตลาดใหม่ระยะยาวควรจะเร่งเจรจาเปิดเสรีการค้า หรือ FTA ไทยกับอียู ก่อนที่ไทยจะถูกตัดสิทธิประโยชน์ทางการค้า หรือ GSP ในปี 2557” นายวิศิษฎ์กล่าว
