“พาณิชย์” ตั้งเป้าส่งออกเครื่องสำอาง เภสัชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ปีนี้เฉียด 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หลังพบมีศักยภาพส่งออกดี ทั่วโลกมั่นใจสรรพคุณ คุณภาพ มาตรฐาน หนุนทำวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า
นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ตั้งเป้าการส่งออกสินค้าเครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพ เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน หรือคิดเป็นมูลค่า 3,005 ล้านเหรียญสหรัฐ โดย 5 เดือน (ม.ค.-พ.ค.) ส่งออกเพิ่มขึ้นแล้ว 14% คิดเป็นมูลค่า 1,105 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยส่งออกไปตลาดญี่ปุ่นมากที่สุดถึง 301 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 39% เพราะญี่ปุ่นสนใจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมจากสมุนไพร ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เช่น สบู่สมุนไพร ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้กับเส้นผม เครื่องสำอางสมุนไพรใช้ดับกลิ่นตัว เป็นต้น ทำให้สินค้าดังกล่าวมีแนวโน้มส่งออกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยควรพัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐานฮาลาล เพื่อเจาะตลาดผู้บริโภคในประเทศมุสลิม ทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน ตะวันออกกลาง ซึ่งมีกำลังซื้อมาก รวมถึงตลาดใหม่ที่มีอัตราการขยายตัวสูง คือ แอฟริกาใต้ มีการส่งออกเพิ่มขึ้น 228% กานา 99% และรัสเซีย 103%
“แม้สินค้าไทยมีจุดแข็งที่ราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง มีความประณีต และมีการให้บริการที่ดี อีกทั้งยังมีความหลากหลายด้านวัตถุดิบในการผลิต มีสถาบันรองรับและมีมาตรฐานการผลิต แต่ภาษีนำเข้าวัตถุดิบที่ใช้ผลิตสินค้า และบรรจุภัณฑ์ของไทยสูงกว่าคู่แข่งจึงอาจทำให้แข่งขันยาก ซึ่งภาครัฐต้องดูแลในเรื่องนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงปรับปรุงรูปแบบและคุณภาพของบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยขึ้นเพราะยังเสียเปรียบคู่แข่งอยู่มาก”
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า ไทยมีจุดแข็งในการผลิต โดยมีพัฒนาการ และมีความพร้อมพื้นฐานของอุตสาหกรรมที่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้าน และผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มีความน่าเชื่อถือในด้านคุณภาพ มาตรฐาน ความปลอดภัย และประสิทธิภาพของการรักษา ดังนั้น ควรทำวิจัยเพื่อให้ผู้บริโภคตลาดเป้าหมายต่างๆ ได้รับทราบถึงคุณภาพ และมาตรฐาน ส่งเสริมฐานข้อมูลการตลาดและเทคโนโลยีในระดับอาเซียน รณรงค์การใช้สินค้าไทยภายในประเทศ และส่งเสริมภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ว่าเป็นสินค้าไทยที่ได้รับความไว้วางใจจากตลาดต่างประเทศ ก็จะสามารถเพิ่มยอดการส่งออกได้
นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ตั้งเป้าการส่งออกสินค้าเครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพ เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน หรือคิดเป็นมูลค่า 3,005 ล้านเหรียญสหรัฐ โดย 5 เดือน (ม.ค.-พ.ค.) ส่งออกเพิ่มขึ้นแล้ว 14% คิดเป็นมูลค่า 1,105 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยส่งออกไปตลาดญี่ปุ่นมากที่สุดถึง 301 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 39% เพราะญี่ปุ่นสนใจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมจากสมุนไพร ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ เช่น สบู่สมุนไพร ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ใช้กับเส้นผม เครื่องสำอางสมุนไพรใช้ดับกลิ่นตัว เป็นต้น ทำให้สินค้าดังกล่าวมีแนวโน้มส่งออกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยควรพัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐานฮาลาล เพื่อเจาะตลาดผู้บริโภคในประเทศมุสลิม ทั้งอินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน ตะวันออกกลาง ซึ่งมีกำลังซื้อมาก รวมถึงตลาดใหม่ที่มีอัตราการขยายตัวสูง คือ แอฟริกาใต้ มีการส่งออกเพิ่มขึ้น 228% กานา 99% และรัสเซีย 103%
“แม้สินค้าไทยมีจุดแข็งที่ราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง มีความประณีต และมีการให้บริการที่ดี อีกทั้งยังมีความหลากหลายด้านวัตถุดิบในการผลิต มีสถาบันรองรับและมีมาตรฐานการผลิต แต่ภาษีนำเข้าวัตถุดิบที่ใช้ผลิตสินค้า และบรรจุภัณฑ์ของไทยสูงกว่าคู่แข่งจึงอาจทำให้แข่งขันยาก ซึ่งภาครัฐต้องดูแลในเรื่องนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงปรับปรุงรูปแบบและคุณภาพของบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยขึ้นเพราะยังเสียเปรียบคู่แข่งอยู่มาก”
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า ไทยมีจุดแข็งในการผลิต โดยมีพัฒนาการ และมีความพร้อมพื้นฐานของอุตสาหกรรมที่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้าน และผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่มีความน่าเชื่อถือในด้านคุณภาพ มาตรฐาน ความปลอดภัย และประสิทธิภาพของการรักษา ดังนั้น ควรทำวิจัยเพื่อให้ผู้บริโภคตลาดเป้าหมายต่างๆ ได้รับทราบถึงคุณภาพ และมาตรฐาน ส่งเสริมฐานข้อมูลการตลาดและเทคโนโลยีในระดับอาเซียน รณรงค์การใช้สินค้าไทยภายในประเทศ และส่งเสริมภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ว่าเป็นสินค้าไทยที่ได้รับความไว้วางใจจากตลาดต่างประเทศ ก็จะสามารถเพิ่มยอดการส่งออกได้
