“กิตติรัตน์” เมินเอกชนเรียกร้องลดภาษีเงินได้จากการลงทุน ตปท. และส่งรายได้กลับไทย เพราะบริษัทขนาดใหญ่ที่มีบริษัทลูกได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลอยู่แล้วก่อนหน้านี้ จึงไม่มีความจำเป็นในการต้องลดหย่อนภาษีเงินได้เข้าประเทศ พร้อมตั้งคำถามเหมาะสมหรือไม่ เผยบางรายมีบริษัทลูกในต่างประเทศเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะไปตั้งในประเทศที่มีภาษีต่ำไม่เหมาะที่จะขอลดภาษีอีก
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงข้อเรียกร้องของภาคเอกชนที่ต้องการให้มีการยกเว้นภาษีเงินได้จากการลงทุนในต่างประเทศ โดยยืนยันว่า กระทรวงการคลังจะไม่มีการลดหย่อนภาษีในส่วนที่รายได้ภาคเอกชนไทยเข้าไปประกอบกิจการในต่างประเทศและส่งเงินกลับมายังประเทศไทย เนื่องจากบริษัทขนาดใหญ่ที่มีบริษัทลูกได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลอยู่แล้วก่อนหน้านี้ จึงไม่มีความจำเป็นในการต้องลดหย่อนภาษีเงินได้เข้าประเทศ
นายกิตติรัตน์กล่าวเสริมว่า เรื่องดังกล่าวคงต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ และให้ข้อสังเกตภาคเอกชนที่ควรไต่ตรองถึงสถานการณ์และวิธีการดำเนินการ เนื่องจากปัจจุบันกฎหมายไทยให้การยกเว้นภาษีเงินปันผลสำหรับบริษัทลูกในไทยของบริษัทจดทะเบียน และบริษัทลูกของบริษัทจำกัดที่ประกอบกิจการในไทยได้รับยกเว้นภาษีปันผล 50%
นอกจากนี้ ภาคเอกชนไทยหลายแห่งได้มีการตั้งบริษัทลูกในต่างประเทศ เพราะต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายเนื่องจากในหลายประเทศมีอัตราภาษีที่ต่ำกว่าไทย ดังนั้น หากให้มีการยกเว้นภาษีโดยที่ไทยยอมสละรายได้ภาษีนั้นคงต้องพิจารณาให้รอบคอบ และขณะนี้ไทยอยู่ระหว่างการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 23% ในปีนี้ และแนวโน้มจะลดเหลือ 20% ในปี 2556
“การลงทุนในต่างประเทศส่งเงินกลับไทยหากได้รับยกเว้นภาษีเป็นเรื่องสมควรหรือไม่ เพราะในเมื่อประกอบกิจการในต่างประเทศ โดยอาศัยบริษัทในไทยในการประกอบธุรกิจ”
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้กังวลหากภาคเอกชนที่ไปลงทุนในต่างประเทศจะไม่ส่งเงินรายได้กลับประเทศ เพราะปัจจุบันรัฐบาลมีสภาพคล่องมากเพียงพออีกหลายปี ทั้งที่เป็นเงินตราต่างประเทศและเงินบาท จึงไม่จำเป็นต้องรีบออกมาตรการดูดเงินต่างประเทศกลับเข้ามาในไทย เพราะยังมีเวลาศึกษาเรื่องนี้ทั้งข้อดีข้อเสีย เพราะประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะต้องมีผลกระทบไม่มาก