บอร์ดแข่งขันเซ็ง! เอาผิด เอ.พี.ฮอนด้าไม่ได้อีกทั้งๆ ที่ผ่านมาแล้วเกือบ 10 ปี สั่งตั้งคณะอนุกรรมการสอบเพิ่มเติมตามข้อเสนอของสำนักอัยการสูงสุด ขีดเส้นให้เสร็จใน 12 เดือน พร้อมสอบโลตัสทำธุรกิจไม่แฟร์กรณีแย่งลูกค้าบิ๊กซี
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า วานนี้ (27 มิ.ย.) ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอของสำนักงานอัยการสูงสุด และมีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวน เพื่อดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม กรณีบริษัท เอ.พี.ฮอนด้าถูกบริษัทคู่แข่งร้องเรียนมีพฤติกรรมขัดต่อ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 เพราะได้บังคับให้ผู้แทนจำหน่ายหยุดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของผู้ประกอบการรายอื่น และบังคับไม่ให้ติดป้ายโฆษณาของผู้ประกอบการอื่น โดยคณะอนุกรรมการสอบสวนจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 12 เดือน
ทั้งนี้ กรณีของบริษัท เอ.พี.ฮอนด้าถูกบริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด บริษัท ไทยยามาฮ่า จำกัด และบริษัท คาวาซากิ จำกัด ร้องเรียนมาตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งหลังจากการตั้งคณะอนุกรรมการเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง และคณะอนุกรรมการสอบสวนแล้วพบว่าคดีมีมูลจริง และได้ส่งเรื่องไปยังอัยการเพื่อให้มีคำสั่งฟ้อง เอ.พี.ฮอนด้า แต่อัยการกลับมีคำสั่งไม่ฟ้อง เพราะเห็นว่าการสอบสวนของคณะอนุกรรมการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากนั้นคณะกรรมการฯ จึงนำเรื่องนี้กลับมาทำการสอบสวนใหม่ และส่งเรื่องให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องศาลอีกครั้งหนึ่งแต่อัยการก็ยังไม่ฟ้องอีก คณะกรรมการฯ จึงส่งเรื่องไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดให้พิจารณา ปรากฏว่าสำนักงานอัยการสูงสุดมีข้อเสนอให้สอบสวนต่อ
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังมีมติให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวน เพื่อดำเนินการสอบสวนในเชิงลึกกรณีที่ห้างบิ๊กซีฟ้องเทสโก้ โลตัส กรณีมีพฤติกรรมการแข่งขันทางการค้าไม่เป็นธรรม ในการโฆษณาให้นำคูปองของคู่แข่งมาใช้กับห้างเทสโก้ โลตัส ตามที่อนุกรรมการเชี่ยวชาญเฉพาะด้านนำเสนอ หลังจากตรวจสอบแล้วพบว่าพฤติกรรมของห้างเทสโก้ โลตัสเข้าข่ายการค้าไม่เป็นธรรมจริง
ขณะเดียวกัน ได้สั่งให้ยุติเรื่องการสอบสวนกรณีที่สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทยร้องเรียนว่าห้างค้าปลีกขนาดใหญ่รายหนึ่ง (บริษัท เซ็นคาร์ จำกัด) จำหน่ายข้าวสารบรรจุถุงยี่ห้อหงษ์ทองต่ำกว่าทุน หลังจากที่คณะอนุกรรมการเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องได้ตรวจสอบทั้งจากพยานบุคคล และเอกสารหลักฐานแล้วพบว่าข้อร้องเรียนดังกล่าวไม่มีมูล จึงไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 ที่ห้ามผู้ใดประกอบธุรกิจอันไม่ใช่การแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม และมีผลทำลายคู่แข่งจนต้องล้มเลิกการประกอบธุรกิจ
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า วานนี้ (27 มิ.ย.) ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอของสำนักงานอัยการสูงสุด และมีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวน เพื่อดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติม กรณีบริษัท เอ.พี.ฮอนด้าถูกบริษัทคู่แข่งร้องเรียนมีพฤติกรรมขัดต่อ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 เพราะได้บังคับให้ผู้แทนจำหน่ายหยุดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของผู้ประกอบการรายอื่น และบังคับไม่ให้ติดป้ายโฆษณาของผู้ประกอบการอื่น โดยคณะอนุกรรมการสอบสวนจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 12 เดือน
ทั้งนี้ กรณีของบริษัท เอ.พี.ฮอนด้าถูกบริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด บริษัท ไทยยามาฮ่า จำกัด และบริษัท คาวาซากิ จำกัด ร้องเรียนมาตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งหลังจากการตั้งคณะอนุกรรมการเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง และคณะอนุกรรมการสอบสวนแล้วพบว่าคดีมีมูลจริง และได้ส่งเรื่องไปยังอัยการเพื่อให้มีคำสั่งฟ้อง เอ.พี.ฮอนด้า แต่อัยการกลับมีคำสั่งไม่ฟ้อง เพราะเห็นว่าการสอบสวนของคณะอนุกรรมการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากนั้นคณะกรรมการฯ จึงนำเรื่องนี้กลับมาทำการสอบสวนใหม่ และส่งเรื่องให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องศาลอีกครั้งหนึ่งแต่อัยการก็ยังไม่ฟ้องอีก คณะกรรมการฯ จึงส่งเรื่องไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดให้พิจารณา ปรากฏว่าสำนักงานอัยการสูงสุดมีข้อเสนอให้สอบสวนต่อ
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังมีมติให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวน เพื่อดำเนินการสอบสวนในเชิงลึกกรณีที่ห้างบิ๊กซีฟ้องเทสโก้ โลตัส กรณีมีพฤติกรรมการแข่งขันทางการค้าไม่เป็นธรรม ในการโฆษณาให้นำคูปองของคู่แข่งมาใช้กับห้างเทสโก้ โลตัส ตามที่อนุกรรมการเชี่ยวชาญเฉพาะด้านนำเสนอ หลังจากตรวจสอบแล้วพบว่าพฤติกรรมของห้างเทสโก้ โลตัสเข้าข่ายการค้าไม่เป็นธรรมจริง
ขณะเดียวกัน ได้สั่งให้ยุติเรื่องการสอบสวนกรณีที่สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทยร้องเรียนว่าห้างค้าปลีกขนาดใหญ่รายหนึ่ง (บริษัท เซ็นคาร์ จำกัด) จำหน่ายข้าวสารบรรจุถุงยี่ห้อหงษ์ทองต่ำกว่าทุน หลังจากที่คณะอนุกรรมการเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องได้ตรวจสอบทั้งจากพยานบุคคล และเอกสารหลักฐานแล้วพบว่าข้อร้องเรียนดังกล่าวไม่มีมูล จึงไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 ที่ห้ามผู้ใดประกอบธุรกิจอันไม่ใช่การแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม และมีผลทำลายคู่แข่งจนต้องล้มเลิกการประกอบธุรกิจ
