xs
xsm
sm
md
lg

“โซนี่พิคเจอร์สฯ” ลุ้น 1.2 พัน ล. ผวา “การเมือง-น้ำท่วม” ฉุดเป้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“โซนี่พิคเจอร์สฯ” ฮึดสู้ ครึ่งปีหวังโกย 600 ล้านบาท ดันทั้งปีทะลุ 1,200 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์รอบ 15 ปี แต่ยังผวาปัญหาการเมือง-น้ำท่วมฉุดความหวังร่วงลง

นายรชต ธีระบุตร กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่ ประจำประเทศไทย บริษัท โซนี่ พิคเจอร์ส รีลิสซิ่ง อินเตอร์เนชั่นแนล หรือเอสดีที ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์จากฮอลลีวูด เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะสามารถทำรายได้รวมประมาณ 600 ล้านบาทตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ หลังจากที่ครึ่งปีแรกทำรายได้รวมแล้วกว่า 668 ล้านบาทจากหนังจำนวน 10 เรื่อง เป็นฟอร์มใหญ่ 5 เรื่อง เช่น เรื่องดิ อะเวนเจอร์ ทำรายได้สูงสุด 280 ล้านบาท หากบริษัทฯ ทำรายได้ 1,200 ล้านบาทจะเป็นรายได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทฯ นับตั้งแต่ก่อตั้งในไทยนาน 15 ปี และจะทำให้ปีนี้มีสัดส่วนตลาดเพิ่มเป็น 10% จากปีที่แล้วที่มีรายได้ 700 ล้านบาท มีส่วนแบ่ง 5%

ขณะที่ตลาดรวมอุตสาหกรรมหนังรวมปีนี้ที่คาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีที่แล้วที่ตลาดรวมมีมูลค่า 3,300 ล้านบาท ซึ่งตลาดรวมทรงๆ มาเกือบ 6-7 ปีแล้วหรือโตประมาณ 5% เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบที่บริษัทฯ ยังหวาดกลัวอยู่ก็คือ ปัญหาการเมือง กับปัญหาน้ำท่วม ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อพฤติกรรมการดูหนังของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเมืองหากเกิดความไม่สงบขึ้นมาจะทำให้อารมณ์การดูหนังของคนลดน้อยลง ส่วนหากเกิดน้ำท่วมก็กระทบเช่นกัน ส่วนปัญหาเศรษฐกิจไม่ค่อยมีผลกระทบมากเท่าใด

นอกนั้นก็เป็นปัญหาเดิมๆ ที่ส่งผลกระทบแต่ก็ยังแก้ไขไม่ได้ เช่น หนังละเมิดลิขสิทธิ์ อายุหนังฉายโรงที่สั้นลงเหลือแค่ 3 สัปดาห์ ราคาตั๋วหนังที่สูงซึ่งบริษัทฯ ไม่ได้เป็นผู้กำหนด เป็นต้น

สำหรับครึ่งปีหลังบริษัทฯ มีหนังฉาย 9 เรื่อง ซึ่งเป็นหนังฟอร์มใหญ่ 6 เรื่อง เช่น “ดิ อะเมซิ่ง สไปเดอร์แมน” เป้ารายได้ 280 ล้านบาท, เบรฟ นักรบสาวหัวใจมหากาฬ, เรซิเดนท์ อีวิล ผีชีวะ 5 สงครามไวรัสล้างนรก เป้ารายได้ 120 ล้านบาท, สกายฟอลล์ เจมส์ บอนด์ 007 พลิกรหัสพิฆาตพยัคฆ์ร้าย เป้ารายได้ 120 ล้านบาท, โททอลรีคอล เป้ารายได้ 100 ล้านบาทเป็นต้น ซึ่งต้องพยายามวางโปรแกรมเข้าฉายไม่ให้ชนกับหนังฟอร์มใหญ่ของคู่แข่ง

นายรชตกล่าวถึงตลาดรวมของอุตสาหกรรมด้วยว่า ตลาดหนังยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอยู่ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับหน้าหนังด้วย ส่วนช่องทางการรับชม คือ โรงหนังและระบบก็ขยายตัวตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบดิจิตอลกับระบบ 3 มิติ 4 มิติ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้อรรถรสในการรับชมหนังมีมากขึ้น อีกทั้งทำให้ตลาดรวมมีมูลค่าเพิ่มขึ้น เพราะราคาค่าตั๋วสูงขึ้นด้วย ซึ่งขณะนี้ถือว่าอยู่ในช่วงของการปรับฐานลดช่องว่างระหว่างราคาตั๋วโรงหนังปกติกับระบบ 3 มิติ ระบบดิจิตอล ซึ่งก็ค่อนข้างสูงในปัจจุบัน

ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของตลาดรวมมาจากระบบ 3 มิติ ยังมากอยู่ที่ 65-70% แต่ก็จะลดลงเรื่อยๆ ส่วนระบบดิจิตอลนั้นในกรุงเทพฯ มีมากกว่า 80% แต่ก็เริ่มขยายตัวในต่างจังหวัดเช่นกัน ส่วนปีที่แล้วตลาดหนังไทยมีสัดส่วน 40% และหนังเทศ 60% และคาดว่าปีนี้หนังไทยก็ยังคงมาแรง เพราะมีหนังฟอร์มใหญ่ เช่น ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 5 เป็นต้น
กำลังโหลดความคิดเห็น