xs
xsm
sm
md
lg

TOPจ่อลงทุนโรงกลั่นที่อินโดฯดึงพันธมิตรท้องถิ่นร่วมทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ไทยออยล์จ่อลงทุนโรงกลั่นน้ำมันในอินโดนีเซียโดยหาพันธมิตรท้องถิ่นเข้าร่วมทุน รองรับความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปที่เพิ่มสูงขึ้นในประเทศอินโดฯ แย้มอยู่ระหว่างการเจรจาเปอร์ตามินา รัฐวิสาหกิจดูแลพลังงานอินโดฯ แถมสนใจเข้าไปปรับปรุงโรงกลั่นเก่าในพม่า เตรียมทุ่มงบกว่า 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อต่อยอดธุรกิจรองรับฤAEC

นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)(TOP) เปิดเผยแผนการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนว่า บริษัทฯสนใจที่จะเข้าไปลงทุนธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันในอินโดนีเซีย เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่ต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปและปิโตรเคมีสุทธิ แม้ว่าอินโดนีเซียจะมีโรงกลั่นหลายโรงแต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งรูปแบบการลงทุนนั้น บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรท้องถิ่นเข้าร่วมทุน เพื่อความเสี่ยงและความได้เปรียบด้านตลาด

“เบื้องต้น บริษัทฯจะเข้าไปลงทุนโรงกลั่นน้ำมันในอินโดนีเซียก่อน จากนั้นค่อยพิจารณาว่าจะมีการลงทุนต่อยอดปิโตรเคมีหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีประชากรถึง 230 ล้านคน และเป็นประเทศNet Import น้ำมันสำเร็จรูปและปิโตรเคมี “

ที่ผ่านมา ไทยออยล์ได้มีการเจรจากับบริษัท เปอร์ตามินา ซึ่งเป็นรัฐวิสากิจด้านน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของอินโดนีเซีย ซึ่งการลงทุนโรงกลั่นน้ำมันในอินโดนีเซียนั้นมีเงื่อนไขรายละเอียดอีกมากที่ต้องศึกษาให้รอบคอบคาดว่าจะไม่ได้ข้อสรุปในปีนี้ ขณะที่ปตท.กับเปอร์ตามินาก็มึความสัมพันธ์ที่ดีมาตลอด

นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทฯยังเห็นโอกาสที่จะเข้าไปปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมันในพม่า ซึ่งเป็นโรงกลั่นเดิมที่อยู่แล้วให้สามารถกลั่นน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาลพม่าว่าต้องการให้ไทยออยล์เข้าไปหรือไม่

“ การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)นับเป็นโอกาสของไทยออยล์ในการขยายตลาดในธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีที่บริษัทฯมีความเชี่ยวชาญไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศนอกเหนือจากการลงทุนเชิงธุรกิจแล้ว ยังมุ่งเน้นการสร้างรายได้ และความเป็นอยู่ให้กับประชาชนในประเทศนั้นๆให้ดีขึ้นด้วย “

นายวีรศักดิ์ กล่าวถึงแผนการลงทุน 5ปี (2555-2559)ว่า ไทยออยล์จะใช้เงินลงทุนประมาณ 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐจากมูลค่ารวม 1.84 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ได้รับส่งเสริมบีโอไอทำให้ลดเงินลงทุน 300 ล้านเหรียญ) แบ่งเป็นโครงการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทแล้วฯ 989 ล้านเหรียญสหรัฐ และโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาอีก 856ล้านเหรียญสหรัฐ

โดยการลงทุนนี้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้ว ทำให้กำไรขั้นต้นเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์ ( GIM) เพิ่มขึ้น อาทิ โครงการปรับปรุงทูโลอีนเพื่อเพิ่มกำลังผลิตพาราไซลีน คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนส.ค.นี้ และมีแผนจะซื้อเรือ VLCC เพิ่มอีก 3 ลำจากเดิมที่มีเรืออยู่ 1 ลำ นับเป็นการขยายกองเรือรองรับความต้องการใช้เรือขนส่งน้ำมันของกลุ่มปตท.ได้ 30%

นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนจะลงทุนโครงการ Benzene Derivatives โดยเบนซีนที่เป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้ จากโรงงานพาราไซลีนไปเพิ่มมูลค่าผลิตเป็นสารชะ (LAB)ที่เป็นสารตั้งต้นในการผลิตแชมพูและสบู่ ใช้เงินลงทุน 218 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตัดสินใจในรายละเอียดสุดท้ายคาดว่าสรุปได้อย่างช้าต้นปี2556

โครงการ Lube Specialty-wax ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเนื่องจากผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น คาดว่าผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจะเป็นแว็กซ์ประเภทต่างๆ ที่ใช้ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการก่อสร้าง รวมทั้งศึกษาการทำลู้บเบส กลุ่ม 3 ใช้เงินลงทุน 180 ล้านเหรียญสหรัฐ

นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2 นี้คาดว่าราคาเฉลี่ย 107 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และไตรมาส 3 จะอ่อนตัวลงมาอยู่ระดับ 101 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก่อนปรับตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ส่งผลให้ราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 107 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

หากระดับราคาน้ำมันดิบปีนี้ 107 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้ค่าการกลั่นยังพอไปด้วยเนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันในปีนี้เพิ่มขึ้น 8 แสนบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นในเอเชีย ทำให้โรงกลั่นในภูมิภาคนี้ยังกลั่นได้ดี ผิดกับบางโรงกลั่นในอียูและสหรัฐฯที่ต้องมีการปิดตัวลง โดยค่าการกลั่น(GRM)อยู่ที่4-5 เหรียญสหรัฐ และค่าการกลั่นรวม(GIM) 7-8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
กำลังโหลดความคิดเห็น