สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ยืนยันภาพรวมของช่วงเวลาไพรม์ไทม์ครองความนิยมเป็นอันดับหนึ่งของฟรีทีวีทุกช่อง โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2555 จนถึงปัจจุบันมีส่วนแบ่งผู้ชมเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 45-50 เผยเตรียมปรับอัตราค่าโฆษณาช่วงละครหลังข่าวภาคค่ำเดือนกรกฎาคมนี้
นายศรัณย์ วิรุตมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปี 2555 จากข้อมูลของบริษัท นีลเส็น ผลสำรวจสถิติรายการยอดนิยม 100 อันดับประจำสัปดาห์ ช่อง 7 สีได้รับความนิยมเฉลี่ยรวม 60 อันดับใน 100 อันดับ โดย 20 อันดับแรกเป็นรายการของช่อง 7 สีทั้งหมด ได้แก่ ข่าวภาคค่ำ ละครก่อนข่าว และละครหลังข่าวภาคค่ำ โดยเฉพาะในช่วงไพรม์ไทม์มีเรตติ้งสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในช่วงเวลาเดียวกัน ชนะฟรีทีวีทุกช่อง ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา สถานีฯ ได้ปรับขึ้นราคาโฆษณาละครก่อนข่าว และข่าวภาคค่ำ 20.00 น.ไปแล้ว และในเดือนกรกฎาคมนี้ ช่อง 7 สีมีแผนจะปรับขึ้นค่าโฆษณาในส่วนละครหลังข่าวภาคค่ำ
ด้าน นายพลากร สมสุวรรณ กรรมการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และรักษาการผู้จัดการฝ่ายรายการ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันต้นทุนการผลิตรายการต่างๆ ลิขสิทธิ์รายการต่างประเทศ ลิขสิทธิ์รายการกีฬาได้เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งต้นทุนการผลิตละครโทรทัศน์ด้วย ทั้งนี้ ตลอด 4 เดือนที่ผ่านมาช่อง 7 สีมีเรตติ้งและสัดส่วนผู้ชมสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งอย่างต่อเนื่อง สถานีฯ จึงพิจารณาปรับค่าโฆษณาละครหลังข่าวภาคค่ำในครั้งนี้
สำหรับเรตติ้งละครหลังข่าวภาคค่ำของช่อง 7 สี นายพลากร กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 2555 ภาพรวมละครหลังข่าวภาคค่ำของ ช่อง 7 สีได้รับความนิยมสูงเป็นอันดับหนึ่งมาโดยตลอด มีส่วนแบ่งผู้ชมเฉลี่ยร้อยละ 45-50 ไม่ว่าจะเป็น ลูกผู้ชายไม้ตะพด มีสถิติเรตติ้งสูงสุด 18.3 ดุจดาวดิน มีสถิติเรตติ้งสูงสุด 17.8 นางฟ้ากับมาเฟีย มีสถิติเรตติ้งสูงสุด 17.5 ขุนเดช มีสถิติเรตติ้งสูงสุด 14.8 ในขณะที่ละครเรื่อง กระบือบาล มีเรตติ้งสูงสุด 10.9 แม้จะมีเรตติ้งไม่สูงมากนัก แต่ก็เป็นละครแนวสร้างสรรค์สังคม และเรตติ้งก็ยังสูงสุดของฟรีทีวีในช่วงวันเวลาเดียวกัน
ด้านการบริหารงานภายในของช่อง 7 สี นายศรัณย์ วิรุตมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หลังจากที่บริษัทได้มีการประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้มีการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานมากยิ่งขึ้น โดยแต่งตั้ง นายพลากร สมสุวรรณ ดำรงตำแหน่งกรรมการ และให้นางสุรางค์ เปรมปรีดิ์ ออกจากกรรมการ