ASTVผู้จัดการรายวัน - “อิเซตัน” ฮึดสู้ ฝันขยายสาขา 2 ในไทยแต่ไม่รู้เมื่อไรจะได้เห็น โอด 3 ปีที่ผ่านมาต้องชะลอแผนเหตุปัจจัยลบเพียบ ชี้ปีนี้แนวโน้มดี ปัดฝุ่นแผนทุ่ม 100 ล้านบาทมากสุดรอบ 20 ปีรีโนเวตและปรับระบบงานครั้งใหญ่ ยอมรับกลัวสองยักษ์ค้าปลีก “เซ็นทรัลเอ็มบาสซี และดิเอ็มโพเรียม 2” ชูกลยุทธ์ความแตกต่างสู้ ดันบัตรใหม่ขยายฐานสมาชิก เป้าเติบโตปีนี้ 5%
นายทาเคชิ อิโต้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อิเซตัน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าอิเซตันในไทยซึ่งเปิดดำเนินการมากว่า 20 ปีแล้ว เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนในระยะยาวที่จะขยายธุรกิจในไทยด้วยการเปิดสาขาแห่งที่ 2 แต่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน ซึ่งขึ้นอยู่กับโอกาสและความเหมาะสม แม้ว่าในต่างประเทศจะมีการขยายสาขาใหม่ๆอยู่ตลอดเวลาก็ตาม อีกทั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง การก่อม็อบ และล่าสุดปีที่แล้วเกิดน้ำท่วมใหญ่ ทำให้แผนการลงทุนต่างๆ ได้ชะลอไปก่อน
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้คาดว่าสถานการณ์ต่างๆ จะดีขึ้น ปีนี้บริษัทฯ จึงมีแผนที่จะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทเพื่อทำการรีโนเวตห้างอิเซตันและปรับปรุงระบบต่างๆ ให้มีความทันสมัยและมีบริการที่ดีขึ้นสร้างความแตกต่างจากห้างค้าปลีกอื่นให้มากที่สุด ซึ่งถือเป็นงบที่มากที่สุดในรอบ 20 ปีเลยก็ว่าได้
“ในช่วงที่แนวโน้มการแข่งขันการตลาดของธุรกิจค้าปลีกในไทยดุเดือดขึ้นทุกวัน ทางอิเซตันเองก็มีนโยบายและกลยุทธ์การรุกตลาดเช่นกัน แต่ก็คงไม่สามารถสู้กับรายใหญ่ได้ เพราะเราเป็นห้างเล็กมีสาขาเดียว เราต้องปรับปรุงใหญ่ เพราะการแข่งขันค้าปลีกมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น อีกทั้งในพื้นที่ใกล้เคียงกับเราก็ยังมีห้างค้าปลีกที่จะเปิดใหม่อีกอย่างน้อย 2 โครงการใหญ่คือ เซ็นทรัลเอ็มบาสซี กับดิเอ็มโพเรียม 2 แต่เราก็มีแผนรับมือไว้แล้ว ด้วยการปรับห้างของเรานั่นเอง ส่วนพวกโครงการค้าปลีกที่จับกลุ่มญี่ปุ่นโดยตรงเช่นย่านสุขุมวิทที่เกิดใหม่ เราไม่ค่อยกังวลกับพวกนี้เท่าไร”
แผนปรับปรุงปีนี้จะเน้นไปที่การปรับระบบงานซอฟต์แวร์ต่างๆ เพื่อให้มีความทันสมัยและรวดเร็วเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการและบริการมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการปรับปรุงพื้นที่แผนกซูเปอร์มาร์เกต และชั้น 1 แผนกแฟชั่น เครื่องสำอาง แอ็กเซสซอรี และชั้น 6 ที่เป็นโซนพื้นที่ร้านค้า เช่น ร้านอาหาร ให้มีความทันสมัยมากขึ้น ซึ่งทั้ง 3 ส่วนนี้ถือเป็นแผนกที่ทำรายได้ให้ห้างอิเซตันในลำดับต้นๆ จากพื้นที่ค้าปลีกทั้งหมด 27,000 ตารางเมตรของเรา คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายนปีนี้ ขณะที่ชั้นอื่นที่เหลือนั้นก็จะทยอยปรับปรุงไปเรื่อยๆ คาดว่าจะสามารถปรับปรุงแล้วเสร็จทั้งห้างภายใน 2 ปีจากนี้ ใกล้เคียงกับที่ห้างค้าปลีกยักษ์ของ 2 ค่ายใหญ่จะแล้วเสร็จพอดี รวมทั้งเป็นช่วงเดียวกับที่เออีซีหรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะมีผลในปี 2558 ด้วย
ส่วนสินค้าที่วางจำหน่ายในห้างอิเซตัน แบ่งเป็นสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่น 15% และสินค้าในไทย 85% โดยจะเพิ่มสินค้านำเข้ามากขึ้น ซึ่งมีทั้งทั่วไป และสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟที่ได้สิทธิ์ตามบริษัทแม่ด้วย แต่ทั้งนี้จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับมาตรการทางภาษีของไทยที่ยังมีการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าสูงอยู่
ล่าสุดบริษัทฯ ได้เปิดตัว I-POINT CARD เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งไทยถือเป็นประเทศที่2 ของอิเซตันทั่วโลกต่อจากจีนที่มีการนำระบบใหม่นี้มาใช้ คือ บัตรสะสมแต้มในรูปแบบของการอัปเดตคะแนนสะสมบนบัตรทันทีหลังจากที่ใช้จ่ายผ่านบัตร นอกจากนี้ 1 คะแนนของบัตรมีค่าเท่ากับ 1 บาท สามารถใช้เป็นส่วนลดได้ทันทีในการซื้อครั้งต่อไป ส่งผลให้ขณะนี้มียอดสมาชิกเพิ่มขึ้น 17,000 ราย จากเดิมปลายปีที่แล้วมีอยู่ 32,000 ราย เท่ากับว่าขณะนี้มีรวม 49,000 ราย โดยตั้งเป้าถึงสิ้นปีนี้จะมีสมาชิกรวม 60,000 ราย
ปัจจุบันอิเซตันมีลูกค้าเดินเข้าห้างเฉลี่ยวันละ 4,000-5,000 คนในวันธรรมดา ส่วนวันหยุดมีประมาณหลักหมื่นคน โดยมีการใช้จ่ายเฉลี่ย 700 บาทต่อครั้งต่อคน ซึ่งสัดส่วนลูกค้าแบ่งเป็นคนไทยมากกว่า 80% ต่างประเทศ 20% ซึ่งฐานสมาชิกที่มีนี้เป็นคนไทยมากกว่า 95% .แต่หลังจากปรับปรุงเสร็จคาดว่าจะมีปริมาณลูกค้าเข้าห้างและการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10%
ทั้งนี้ หลังจากแผนดำเนินการในปีนี้เสร็จคาดว่าจะช่วยผลักดันให้ยอดขายรวมเติบโต 5% ในปีนี้ จากรายได้ปีที่แล้ว 1,500 ล้านบาท ซึ่งเติบโตมากถึง 20% โดยครึ่งปีแรกเติบโต 3%
นายทาเคชิ อิโต้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อิเซตัน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารห้างสรรพสินค้าอิเซตันในไทยซึ่งเปิดดำเนินการมากว่า 20 ปีแล้ว เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนในระยะยาวที่จะขยายธุรกิจในไทยด้วยการเปิดสาขาแห่งที่ 2 แต่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน ซึ่งขึ้นอยู่กับโอกาสและความเหมาะสม แม้ว่าในต่างประเทศจะมีการขยายสาขาใหม่ๆอยู่ตลอดเวลาก็ตาม อีกทั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง การก่อม็อบ และล่าสุดปีที่แล้วเกิดน้ำท่วมใหญ่ ทำให้แผนการลงทุนต่างๆ ได้ชะลอไปก่อน
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้คาดว่าสถานการณ์ต่างๆ จะดีขึ้น ปีนี้บริษัทฯ จึงมีแผนที่จะใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทเพื่อทำการรีโนเวตห้างอิเซตันและปรับปรุงระบบต่างๆ ให้มีความทันสมัยและมีบริการที่ดีขึ้นสร้างความแตกต่างจากห้างค้าปลีกอื่นให้มากที่สุด ซึ่งถือเป็นงบที่มากที่สุดในรอบ 20 ปีเลยก็ว่าได้
“ในช่วงที่แนวโน้มการแข่งขันการตลาดของธุรกิจค้าปลีกในไทยดุเดือดขึ้นทุกวัน ทางอิเซตันเองก็มีนโยบายและกลยุทธ์การรุกตลาดเช่นกัน แต่ก็คงไม่สามารถสู้กับรายใหญ่ได้ เพราะเราเป็นห้างเล็กมีสาขาเดียว เราต้องปรับปรุงใหญ่ เพราะการแข่งขันค้าปลีกมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น อีกทั้งในพื้นที่ใกล้เคียงกับเราก็ยังมีห้างค้าปลีกที่จะเปิดใหม่อีกอย่างน้อย 2 โครงการใหญ่คือ เซ็นทรัลเอ็มบาสซี กับดิเอ็มโพเรียม 2 แต่เราก็มีแผนรับมือไว้แล้ว ด้วยการปรับห้างของเรานั่นเอง ส่วนพวกโครงการค้าปลีกที่จับกลุ่มญี่ปุ่นโดยตรงเช่นย่านสุขุมวิทที่เกิดใหม่ เราไม่ค่อยกังวลกับพวกนี้เท่าไร”
แผนปรับปรุงปีนี้จะเน้นไปที่การปรับระบบงานซอฟต์แวร์ต่างๆ เพื่อให้มีความทันสมัยและรวดเร็วเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการและบริการมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการปรับปรุงพื้นที่แผนกซูเปอร์มาร์เกต และชั้น 1 แผนกแฟชั่น เครื่องสำอาง แอ็กเซสซอรี และชั้น 6 ที่เป็นโซนพื้นที่ร้านค้า เช่น ร้านอาหาร ให้มีความทันสมัยมากขึ้น ซึ่งทั้ง 3 ส่วนนี้ถือเป็นแผนกที่ทำรายได้ให้ห้างอิเซตันในลำดับต้นๆ จากพื้นที่ค้าปลีกทั้งหมด 27,000 ตารางเมตรของเรา คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกันยายนปีนี้ ขณะที่ชั้นอื่นที่เหลือนั้นก็จะทยอยปรับปรุงไปเรื่อยๆ คาดว่าจะสามารถปรับปรุงแล้วเสร็จทั้งห้างภายใน 2 ปีจากนี้ ใกล้เคียงกับที่ห้างค้าปลีกยักษ์ของ 2 ค่ายใหญ่จะแล้วเสร็จพอดี รวมทั้งเป็นช่วงเดียวกับที่เออีซีหรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะมีผลในปี 2558 ด้วย
ส่วนสินค้าที่วางจำหน่ายในห้างอิเซตัน แบ่งเป็นสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่น 15% และสินค้าในไทย 85% โดยจะเพิ่มสินค้านำเข้ามากขึ้น ซึ่งมีทั้งทั่วไป และสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟที่ได้สิทธิ์ตามบริษัทแม่ด้วย แต่ทั้งนี้จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับมาตรการทางภาษีของไทยที่ยังมีการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าสูงอยู่
ล่าสุดบริษัทฯ ได้เปิดตัว I-POINT CARD เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งไทยถือเป็นประเทศที่2 ของอิเซตันทั่วโลกต่อจากจีนที่มีการนำระบบใหม่นี้มาใช้ คือ บัตรสะสมแต้มในรูปแบบของการอัปเดตคะแนนสะสมบนบัตรทันทีหลังจากที่ใช้จ่ายผ่านบัตร นอกจากนี้ 1 คะแนนของบัตรมีค่าเท่ากับ 1 บาท สามารถใช้เป็นส่วนลดได้ทันทีในการซื้อครั้งต่อไป ส่งผลให้ขณะนี้มียอดสมาชิกเพิ่มขึ้น 17,000 ราย จากเดิมปลายปีที่แล้วมีอยู่ 32,000 ราย เท่ากับว่าขณะนี้มีรวม 49,000 ราย โดยตั้งเป้าถึงสิ้นปีนี้จะมีสมาชิกรวม 60,000 ราย
ปัจจุบันอิเซตันมีลูกค้าเดินเข้าห้างเฉลี่ยวันละ 4,000-5,000 คนในวันธรรมดา ส่วนวันหยุดมีประมาณหลักหมื่นคน โดยมีการใช้จ่ายเฉลี่ย 700 บาทต่อครั้งต่อคน ซึ่งสัดส่วนลูกค้าแบ่งเป็นคนไทยมากกว่า 80% ต่างประเทศ 20% ซึ่งฐานสมาชิกที่มีนี้เป็นคนไทยมากกว่า 95% .แต่หลังจากปรับปรุงเสร็จคาดว่าจะมีปริมาณลูกค้าเข้าห้างและการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10%
ทั้งนี้ หลังจากแผนดำเนินการในปีนี้เสร็จคาดว่าจะช่วยผลักดันให้ยอดขายรวมเติบโต 5% ในปีนี้ จากรายได้ปีที่แล้ว 1,500 ล้านบาท ซึ่งเติบโตมากถึง 20% โดยครึ่งปีแรกเติบโต 3%