ครม.ไฟเขียวขยายเวลายกเว้นเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลอีก 1 เดือน สิ้นสุด 31 พฤษภาคม 55 พร้อมเห็นชอบพักหนี้ลูกหนี้ดี 3 ปี คิดดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี เริ่มลงทะเบียน 2 พ.ค.นี้ เล็งเปิดเฟส 2 ขยายกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมรากหญ้าอย่างทั่วถึง
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้มีมติให้ขยายเวลายกเว้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลต่อไปอีก 1 เดือน โดยให้สิ้นสุดในวันที่ 31 พฤษภาคม 2555 จากเดิมวันที่ 30 เมษายน 2555
นอกจากนี้ ครม. ยังมีมติเห็นชอบ ปรับปรุงโครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อย และประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า 5 แสนบาท โดยได้ขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังประชาชนกลุ่มที่มีหนี้ ในสถาบันการเงินเฉพาะกิจไม่เกิน 5 แสนบาท ที่มีสถานะหนี้ปกติ จำนวน 3.8 ล้านราย คิดเป็นมูลหนี้คงค้าง 4.6 แสนล้านบาท ซึ่งสามารถเลือกได้ 2 แนวทาง คือ การพักชำระเงินต้นและลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรือลดอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่มีอยู่เดิมในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี โดยไม่พักเงินต้นเป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2555 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2558
ขณะเดียวกัน ยังมีสิทธิขอกู้ใหม่ได้ตามความสามารถในการชำระหนี้ในอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน ณ วันที่ได้รับอนุมัติการกู้เพิ่ม ทั้งนี้ หากลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการผิดนัดชำระหนี้ตามเงื่อนไขใหม่ ลูกหนี้จะต้องออกจากโครงการทันทีส่วนประชาชนที่เข้าร่วมโครงการพักหนี้ฯ ตามโครงการระยะแรกสามารถขอเปลี่ยนเข้าร่วมโครงการพักหนี้ใหม่ได้ แต่ต้องปรับจากการเป็นลูกหนี้เอ็นพีแอล เป็นลูกหนี้ปกติก่อน ขณะที่กระทรวงการคลังจะชดเชยรายได้ดอกเบี้ยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจในอัตราร้อยละ 1.5 และจัดหาแหล่งเงินทุนต้นทุนต่ำและแหล่งเพิ่มทุน เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดจากการดำเนินการ รวมถึงแยกบันทึกบัญชีการดำเนินงานตามโครงการนี้ออกจากการดำเนินการปกติ เพื่อประเมินผลกระทบอย่างโปร่งใสต่อไป
นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า การพักหนี้ในครั้งนี้ จะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพีเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 0.4-0.7 ต่อปี หรือ คิดเป็นมูลค่า 44,000 -77,000ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ประชาชนสามารถแสดงความจำนงขอเข้าร่วมโครงการได้ระหว่างวันที่ 2พฤษภาคม2555จนถึงวันที่ 20 สิงหาคม 2555 ที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เป็นลูกค้าอยู่ ซึ่งเข้าร่วมโครงการ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน, ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย