เผยสถิติขอรับส่งเสริมการลงทุนช่วงไตรมาสแรก ปี 2555 มีมูลค่าเงินลงทุนสูงกว่า 230,000 ล้านบาท หรือขยายตัว 106% ด้านญี่ปุ่นยังเป็นนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด และทำให้สถิติการลงทุนจากต่างประเทศสูงถึง 134,000 ล้านบาท
ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้รายงานถึงภาวะการลงทุนในช่วงไตรมาสแรกปี 2555 (มกราคม-มีนาคม) มีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีนักลงทุนยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนแล้วทั้งสิ้น 470 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 231,100 ล้านบาท จำนวนโครงการปรับเพิ่มขึ้น 12% มูลค่าเงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้น 106% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีมูลค่าอยู่ที่ 111,900 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นโครงการลงทุนที่ประสบอุทกภัยในปีที่ผ่านมา และได้ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนเพื่อฟื้นฟูและขยายกิจการ มูลค่ารวมประมาณ 25,000 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI (Foreign Direct Investment) ในช่วงไตรมาสแรกปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนค่อนข้างมาก โดยมีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจำนวน 312 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 134,151 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน โดยโครงการปรับเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 254 โครงการ ด้านมูลค่าเงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้น 91% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีมูลค่าอยู่ที่ 70,111 ล้านบาท
ประเทศที่เข้ามาลงทุนสูงสุด เป็นโครงการลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น 173 โครงการ เงินลงทุนรวม 77,982 ล้านบาท รองลงมาเป็น มาเลเซีย 11 โครงการ เงินลงทุนรวม 10,714 ล้านบาท อันดับ 3 โครงการลงทุนจากสหรัฐอเมริกา 17 โครงการ เงินลงทุน 9,116 ล้านบาท
นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการบีโอไอ กล่าวถึงผลของมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยเริ่มฟื้นตัวแล้ว โดยมีผู้ประกอบการนำเข้าเครื่องจักรเพื่อทดแทนเครื่องจักรเดิมที่เสียหายมูลค่ากว่า 87,000 ล้านบาท และมีผู้ยื่นขอรับส่งเสริมเพื่อฟื้นฟูและขยายกิจการแล้วรวม 37 โครงการ เงินลงทุนรวม 25,717 ล้านบาท