“กลุ่มเซ็นทรัล” เคลื่อนทัพสู่อินเตอร์ เปิดโมเดลรุกต่างประเทศ ซื้อกิจการและหาพันธมิตรท้องถิ่น พร้อมใช้แบรนด์ท้องถิ่นเพราะติดตลาดแล้ว ปักธงศึกษาตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาดอีก 2 ปีน่าจะสรุปได้ไม่ต่ำกว่า 1 ดีล เป้าอีก 5 ปีสัดส่วนรายได้ต่างประเทศเป็น 15%
นายปริญญ์ จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร-การเงิน บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า จากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปี 2558 ซึ่งประเทศไทยก็เข้าร่วมด้วยบริษัทจะตั้งรับอย่างเดียวไม่ได้ต้องไปบุกตลาดต่างประเทศด้วย รวมทั้งตลาดค้าปลีกในไทยที่เริ่มอิ่มตัวเพราะพื้นที่ที่มีศักยภาพขนาดใหญ่เริ่มหาได้น้อยลง เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลจะขยายการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เบื้องต้นให้ความสำคัญต่อตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ส่วนรูปแบบการลงทุนค้าปลีกในต่างประเทศ บริษัทจะเน้นการซื้อกิจการเป็นหลัก และการหาพันธมิตรของแต่ละประเทศเข้ามาร่วมธุรกิจ เพราะจะมีมูลค่าการลงทุนน้อยกว่าสร้างใหม่ ซึ่งหากเป็นโครงการขนาดใหญ่คาดว่าจะใช้งบลงทุนในการซื้อกิจการไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ขณะที่โครงการเล็กประมาณ 5,000 ล้านบาท
ในเร็วๆ นี้อาจจะยังไม่มีการสรุปดีลการเจรจา เพราะส่วนใหญ่การเจรจาซื้อกิจการในแต่ละครั้งใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3-4 ปี แต่ในอีก 2 ปีนับจากนี้น่าจะสรุปดีลซื้อกิจการได้ไม่ต่ำกว่า 1 ดีล โดยตั้งเป้าหมายอีก 5 ปีจากนี้จะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 15%
ภายหลังซื้อกิจการในแต่ละประเทศแล้ว คงจะใช้ชื่อเดิมของห้างค้าปลีกนั้นต่อไป หากห้างค้าปลีกแบรนด์นั้นติดตลาดอยู่แล้วการใช้แบรนด์เก่าน่าจะดีกว่าการนำแบรนด์ใหม่ในเครืออย่าง
เซ็นทรัลหรือโรบินสันเข้าไป เพราะคนในประเทศเหล่านั้นยังไม่รู้จัก
สำหรับความเป็นไปได้ในการเข้าไปขยายธุรกิจค้าปลีกในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คาดว่าต้องใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 5 ปีจึงจะได้ข้อสรุป ซึ่งบริษัทได้เริ่มเข้าไปศึกษาตลาดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม มาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย เพราะเป็นประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง “ส่วนประเทศพม่า บริษัทก็มีความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนแต่ต้องขอศึกษาตลาดและความชัดเจนของกฎหมายก่อน แม้ว่าขณะนี้จะมีกลุ่มนักธุรกิจต่างประเทศสนใจเข้าไปลงทุนในประเทศพม่าเป็นจำนวนมากเพราะพม่าเพิ่งเปิดประเทศ” นายปริญญ์กล่าวทิ้งท้าย
นายปริญญ์ จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร-การเงิน บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า จากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปี 2558 ซึ่งประเทศไทยก็เข้าร่วมด้วยบริษัทจะตั้งรับอย่างเดียวไม่ได้ต้องไปบุกตลาดต่างประเทศด้วย รวมทั้งตลาดค้าปลีกในไทยที่เริ่มอิ่มตัวเพราะพื้นที่ที่มีศักยภาพขนาดใหญ่เริ่มหาได้น้อยลง เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลจะขยายการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เบื้องต้นให้ความสำคัญต่อตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ส่วนรูปแบบการลงทุนค้าปลีกในต่างประเทศ บริษัทจะเน้นการซื้อกิจการเป็นหลัก และการหาพันธมิตรของแต่ละประเทศเข้ามาร่วมธุรกิจ เพราะจะมีมูลค่าการลงทุนน้อยกว่าสร้างใหม่ ซึ่งหากเป็นโครงการขนาดใหญ่คาดว่าจะใช้งบลงทุนในการซื้อกิจการไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ขณะที่โครงการเล็กประมาณ 5,000 ล้านบาท
ในเร็วๆ นี้อาจจะยังไม่มีการสรุปดีลการเจรจา เพราะส่วนใหญ่การเจรจาซื้อกิจการในแต่ละครั้งใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3-4 ปี แต่ในอีก 2 ปีนับจากนี้น่าจะสรุปดีลซื้อกิจการได้ไม่ต่ำกว่า 1 ดีล โดยตั้งเป้าหมายอีก 5 ปีจากนี้จะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 15%
ภายหลังซื้อกิจการในแต่ละประเทศแล้ว คงจะใช้ชื่อเดิมของห้างค้าปลีกนั้นต่อไป หากห้างค้าปลีกแบรนด์นั้นติดตลาดอยู่แล้วการใช้แบรนด์เก่าน่าจะดีกว่าการนำแบรนด์ใหม่ในเครืออย่าง
เซ็นทรัลหรือโรบินสันเข้าไป เพราะคนในประเทศเหล่านั้นยังไม่รู้จัก
สำหรับความเป็นไปได้ในการเข้าไปขยายธุรกิจค้าปลีกในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คาดว่าต้องใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 5 ปีจึงจะได้ข้อสรุป ซึ่งบริษัทได้เริ่มเข้าไปศึกษาตลาดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม มาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย เพราะเป็นประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง “ส่วนประเทศพม่า บริษัทก็มีความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนแต่ต้องขอศึกษาตลาดและความชัดเจนของกฎหมายก่อน แม้ว่าขณะนี้จะมีกลุ่มนักธุรกิจต่างประเทศสนใจเข้าไปลงทุนในประเทศพม่าเป็นจำนวนมากเพราะพม่าเพิ่งเปิดประเทศ” นายปริญญ์กล่าวทิ้งท้าย