สศช.เผย จะมีการพิจารณาแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในช่วง 10 ปี ต่อจากนี้ เพื่อรองรับ เออีซี
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) เมื่อเร็วๆ นี้ พิจารณาแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในยุคใหม่ของกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในช่วง 10 ปีต่อจากนี้ เพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 และเตรียมพร้อมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ โดยมีกรอบวงเงินลงทุนรวมถึง 2.27 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย ด้านคมนาคม ขนส่งทางบก ซึ่งต้องมีการพัฒนาระบบรถไฟสายใหม่ รถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ รถไฟฟ้าในเมือง รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนระหว่างเมืองหลัก
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการทำวงแหวนรอบนอก รอบที่ 3 ของกรุงเทพมหานคร และการพัฒนาการขนส่งทางอากาศ ที่ตั้งเป้าหมายผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค รวมถึงการลงทุนทางน้ำ เช่น การก่อสร้างท่าเรือ การผลักดันการขนส่งทางน้ำในลุ่มน้ำสำคัญ การลงทุนด้านพลังงาน การสื่อสารและสาธารณูปโภค โดยเบื้องต้นกำหนดว่า จะใช้เงินจากงบประมาณร้อยละ 50 หรือวงเงิน 1.13 ล้านล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 50 หรือ 1.13 ล้านล้านบาท จะมาจากการร่วมลงทุนของภาคเอกชน และการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้สั่งการให้กระทรวงการคลังกลับไปพิจารณาโครงการที่สามารถดำเนินการได้ก่อนพร้อมจัดหาแหล่งเงิน ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องกลับไปจัดลำดับความสำคัญของแต่ละโครงการให้ชัดเจนด้วย ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องเร่งรัดโครงการให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) เมื่อเร็วๆ นี้ พิจารณาแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในยุคใหม่ของกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในช่วง 10 ปีต่อจากนี้ เพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 และเตรียมพร้อมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ โดยมีกรอบวงเงินลงทุนรวมถึง 2.27 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย ด้านคมนาคม ขนส่งทางบก ซึ่งต้องมีการพัฒนาระบบรถไฟสายใหม่ รถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ รถไฟฟ้าในเมือง รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนระหว่างเมืองหลัก
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการทำวงแหวนรอบนอก รอบที่ 3 ของกรุงเทพมหานคร และการพัฒนาการขนส่งทางอากาศ ที่ตั้งเป้าหมายผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค รวมถึงการลงทุนทางน้ำ เช่น การก่อสร้างท่าเรือ การผลักดันการขนส่งทางน้ำในลุ่มน้ำสำคัญ การลงทุนด้านพลังงาน การสื่อสารและสาธารณูปโภค โดยเบื้องต้นกำหนดว่า จะใช้เงินจากงบประมาณร้อยละ 50 หรือวงเงิน 1.13 ล้านล้านบาท ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 50 หรือ 1.13 ล้านล้านบาท จะมาจากการร่วมลงทุนของภาคเอกชน และการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้สั่งการให้กระทรวงการคลังกลับไปพิจารณาโครงการที่สามารถดำเนินการได้ก่อนพร้อมจัดหาแหล่งเงิน ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องกลับไปจัดลำดับความสำคัญของแต่ละโครงการให้ชัดเจนด้วย ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องเร่งรัดโครงการให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
