ทิก้า เผย ตลาดนักท่องเที่ยวอินเซนทีฟ ยังน่าห่วง เจอ 2 เด้ง พิษการเมือง กับวิกฤตยุโรป ทำ ยอดวูบ ผู้ประกอบการปรับตัววุ่น ระบุ อินเดีย-จีน เสริมได้แค่จำนวน แต่มูลค่ายังห่างกว่า 50% ส่วนกรณี การลาออกของ “อรรคพล” สะท้อน การเมืองล้วงลูก จี้รัฐเร่งสรรหาคนใหม่ หวั่นกระทบการประมูลสิทธิ์ จัดเวิลด์เอ็กซโป
นายสุเมธ สุทัศน์ ณ อยุธยา นายกสมาคมส่งเสริมการจัดประชุมนานาชาติ (ไทย) หรือ ทิก้า กล่าวว่า แม้สถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยจะปรับตัวดีขึ้น แต่ในส่วนของนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล หรือ อินเซนทีฟ ยังไม่กลับสู่ภาวะปกตินัก อาจต้องรอถึงปี 2557 หรือ 2014 ตลาดนี้ จะพลิกกลับมามีจำนวนเท่ากับปี 2007 หรือปี 2550 ก่อนเกิดเหตุความไม่สงบจากการเมืองภายในประเทศ
***ตลาดเอเชียทดแทนยุโรปได้แค่จำนวน*****
ทั้งนี้ เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มอินเซนทีฟ มีความอ่อนไหวสูงต่อทุกเหตุการณ์ และปัจจัยลบที่เกิดขึ้น ทำให้ตั้งแต่ประเทศไทยมีปัญหาความรุนแรงทางการเมือง ตลาดนี้จึงทรุดตัวต่อเนื่อง ประกอบกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในยุโรปและอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของนักท่องเที่ยวนี้ จึงทำให้ตลาดอินเซนทีฟ ทรุดตัวต่อเนื่อง เฉพาะปี 2555 คาดว่า ตลาดอินเซนทีฟจากยุโรปจะลดลงกว่า 50% ซึ่งแม้ผู้ประกอบการจะปรับตัว หันไปทำตลาดระยะใกล้ ที่เศรษฐกิจดี อย่าง อินเดีย และจีน แต่เม็ดเงินที่ได้ก็เทียบไม่ได้กับกลุ่มยุโรป เพราะยุโรป พักเฉลี่ย 1 สัปดาห์ พักโรงแรม 4-5 ดาว ส่วน จีน กับ อินเดีย พักเฉลี่ย 2-3 คืน ในโรงแรม ระดับ 3 ดาว เท่านั้น ทำให้เม็ดเงินที่ได้น้อยกว่ายุโรปถึง 50% ซึ่งภาคเอกชนบางรายหนีตายด้วยการหันไปจับนักท่องเที่ยวกลุ่มประชุมบ้าง หรือบวกราคาแล้วเพิ่มดินเนอร์เข้าไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สมาคมจะดำเนินการ เพื่อช่วยเหลือสมาชิกในปีนี้ คือ การจัดแฟมทริป เชิญตลาดที่มีศักยภาพมาเลือกชมสินค้าและบริการ ในประเทศไทย ตลาดที่จะเชิญมา คือ ผู้ประกอบการ-เอเยนต์ และ หน่วยงาน ที่จัดอินเซนทีฟให้แก่พนักงาน จากประเทศในกลุ่ม แอฟริกาใต้ ยุโรปตะวันออก ซึ่งเศรษฐกิจยังมีการเติบโต และ ตลาดอเมริกา ซึ่งมีแนวโน้มพลิกฟื้นจากวิกฤตแล้ว
“เท่าที่สมาคมได้ทำการพฤติกรรมลูกค้าในแต่ละตลาด พบว่า ยุโรปตะวันออกชอบแบบแพกเกจเหมาจ่าย ที่รวมกินดื่นเข้าไปด้วย ซึ่งภาคเอกชนกำลังดูว่าจะเพิ่มกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวออกไปนอกโรงแรมเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มขึ้น ปีนี้ จะเน้นตลาดลองฮอลล์ เพราะปีก่อน เราเน้นตลาดช็อตฮอลล์ ไปแล้วที่ ออสเตรเลีย และสิงคโปร์”
***การเมืองล้วงลูก จี้รัฐเร่งสรรหา ผอ.*****
นายสุเมธ กล่าวถึง กรณีการลาออกของ นายอรรคพล สรสุชาติ ผู้อำนวยการ สสปน.ซึ่งจะมีผลสิ้นเดือนมีนาคมนี้ ว่า เป็นสิ่งสะท้อนได้ดีถึงหน่วยงานอิสระที่ถูกการเมืองเข้ามาล้วงลูก สิ่งที่เอกชนห่วงเกรงว่า การนำประเทศไทยยื่นประมูลสิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดงานเวิลด์เอ็กซโปจะต้องสะดุด หรือไม่ต่อเนื่อง เพราะ นายอรรคพล เป็นผู้ทำงานนี้มาโดยตลอด ดังนั้น หากจะต้องสรรหาผู้อำนวยการ สสปน.คนใหม่ ก็ควรจะดำเนินการให้เร็ว สิงหาคมนี้ คณะผู้จัดเวิลด์เอ็กซโป หรือ BIE ก็จะเดินทางมาติดตามความคืบหน้าอีกครั้ง
***เล็งขยายตลาดยุโรปตะวันออก***
นายอรรคพล สรสุชาติ ผอ.สสปน.กล่าวยอมรับว่า ตลาดอินเซนทีฟ จะลดลงในเรื่องของมูลค่า เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาชดเชยตลาดยุโรป คือ กลุ่มเอเชีย ที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า ซึ่ง สสปน.ก็มีแผนขยายตลาดนี้เพิ่มเติม ไปยังกลุ่มยุโรปตะวันออก เยอรมนี รัสเซีย เน้น ที่เป็นลักชัวรี่มาร์เก็ต ส่วนตลาดใกล้ เจาะ อินเดีย และ จีน เหมือนเดิม ล่าสุด สถานกาณ์ตลาดญี่ปุ่นก็เริ่มดีขึ้น โดย สสปน.ประมาณการตัวเลข นักท่องเที่ยวอินเซนทีฟ ระยะ 5 ปี (2555-2559) ว่า ในปี 2555 จะมีนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ 234,917 คน รายได้ 12,822 ล้านบาท จากเป้าหมาย จำนวนนักท่องเที่ยวไมซ์ทุกลุ่ม 828,000 คน รายได้ 70,200 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 410,871 คน ในปี 2559 สร้างรายได้ 21,191 ล้านบาท จากเป้าหมายรวมในปีดังกล่าวที่ 1,448,177 คน รายได้ 130,325 ล้านบาท
นายสุเมธ สุทัศน์ ณ อยุธยา นายกสมาคมส่งเสริมการจัดประชุมนานาชาติ (ไทย) หรือ ทิก้า กล่าวว่า แม้สถานการณ์การท่องเที่ยวของไทยจะปรับตัวดีขึ้น แต่ในส่วนของนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล หรือ อินเซนทีฟ ยังไม่กลับสู่ภาวะปกตินัก อาจต้องรอถึงปี 2557 หรือ 2014 ตลาดนี้ จะพลิกกลับมามีจำนวนเท่ากับปี 2007 หรือปี 2550 ก่อนเกิดเหตุความไม่สงบจากการเมืองภายในประเทศ
***ตลาดเอเชียทดแทนยุโรปได้แค่จำนวน*****
ทั้งนี้ เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มอินเซนทีฟ มีความอ่อนไหวสูงต่อทุกเหตุการณ์ และปัจจัยลบที่เกิดขึ้น ทำให้ตั้งแต่ประเทศไทยมีปัญหาความรุนแรงทางการเมือง ตลาดนี้จึงทรุดตัวต่อเนื่อง ประกอบกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในยุโรปและอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของนักท่องเที่ยวนี้ จึงทำให้ตลาดอินเซนทีฟ ทรุดตัวต่อเนื่อง เฉพาะปี 2555 คาดว่า ตลาดอินเซนทีฟจากยุโรปจะลดลงกว่า 50% ซึ่งแม้ผู้ประกอบการจะปรับตัว หันไปทำตลาดระยะใกล้ ที่เศรษฐกิจดี อย่าง อินเดีย และจีน แต่เม็ดเงินที่ได้ก็เทียบไม่ได้กับกลุ่มยุโรป เพราะยุโรป พักเฉลี่ย 1 สัปดาห์ พักโรงแรม 4-5 ดาว ส่วน จีน กับ อินเดีย พักเฉลี่ย 2-3 คืน ในโรงแรม ระดับ 3 ดาว เท่านั้น ทำให้เม็ดเงินที่ได้น้อยกว่ายุโรปถึง 50% ซึ่งภาคเอกชนบางรายหนีตายด้วยการหันไปจับนักท่องเที่ยวกลุ่มประชุมบ้าง หรือบวกราคาแล้วเพิ่มดินเนอร์เข้าไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สมาคมจะดำเนินการ เพื่อช่วยเหลือสมาชิกในปีนี้ คือ การจัดแฟมทริป เชิญตลาดที่มีศักยภาพมาเลือกชมสินค้าและบริการ ในประเทศไทย ตลาดที่จะเชิญมา คือ ผู้ประกอบการ-เอเยนต์ และ หน่วยงาน ที่จัดอินเซนทีฟให้แก่พนักงาน จากประเทศในกลุ่ม แอฟริกาใต้ ยุโรปตะวันออก ซึ่งเศรษฐกิจยังมีการเติบโต และ ตลาดอเมริกา ซึ่งมีแนวโน้มพลิกฟื้นจากวิกฤตแล้ว
“เท่าที่สมาคมได้ทำการพฤติกรรมลูกค้าในแต่ละตลาด พบว่า ยุโรปตะวันออกชอบแบบแพกเกจเหมาจ่าย ที่รวมกินดื่นเข้าไปด้วย ซึ่งภาคเอกชนกำลังดูว่าจะเพิ่มกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวออกไปนอกโรงแรมเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายอื่นๆ เพิ่มขึ้น ปีนี้ จะเน้นตลาดลองฮอลล์ เพราะปีก่อน เราเน้นตลาดช็อตฮอลล์ ไปแล้วที่ ออสเตรเลีย และสิงคโปร์”
***การเมืองล้วงลูก จี้รัฐเร่งสรรหา ผอ.*****
นายสุเมธ กล่าวถึง กรณีการลาออกของ นายอรรคพล สรสุชาติ ผู้อำนวยการ สสปน.ซึ่งจะมีผลสิ้นเดือนมีนาคมนี้ ว่า เป็นสิ่งสะท้อนได้ดีถึงหน่วยงานอิสระที่ถูกการเมืองเข้ามาล้วงลูก สิ่งที่เอกชนห่วงเกรงว่า การนำประเทศไทยยื่นประมูลสิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดงานเวิลด์เอ็กซโปจะต้องสะดุด หรือไม่ต่อเนื่อง เพราะ นายอรรคพล เป็นผู้ทำงานนี้มาโดยตลอด ดังนั้น หากจะต้องสรรหาผู้อำนวยการ สสปน.คนใหม่ ก็ควรจะดำเนินการให้เร็ว สิงหาคมนี้ คณะผู้จัดเวิลด์เอ็กซโป หรือ BIE ก็จะเดินทางมาติดตามความคืบหน้าอีกครั้ง
***เล็งขยายตลาดยุโรปตะวันออก***
นายอรรคพล สรสุชาติ ผอ.สสปน.กล่าวยอมรับว่า ตลาดอินเซนทีฟ จะลดลงในเรื่องของมูลค่า เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาชดเชยตลาดยุโรป คือ กลุ่มเอเชีย ที่มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า ซึ่ง สสปน.ก็มีแผนขยายตลาดนี้เพิ่มเติม ไปยังกลุ่มยุโรปตะวันออก เยอรมนี รัสเซีย เน้น ที่เป็นลักชัวรี่มาร์เก็ต ส่วนตลาดใกล้ เจาะ อินเดีย และ จีน เหมือนเดิม ล่าสุด สถานกาณ์ตลาดญี่ปุ่นก็เริ่มดีขึ้น โดย สสปน.ประมาณการตัวเลข นักท่องเที่ยวอินเซนทีฟ ระยะ 5 ปี (2555-2559) ว่า ในปี 2555 จะมีนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ 234,917 คน รายได้ 12,822 ล้านบาท จากเป้าหมาย จำนวนนักท่องเที่ยวไมซ์ทุกลุ่ม 828,000 คน รายได้ 70,200 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 410,871 คน ในปี 2559 สร้างรายได้ 21,191 ล้านบาท จากเป้าหมายรวมในปีดังกล่าวที่ 1,448,177 คน รายได้ 130,325 ล้านบาท