“สยามฟิวเจอร์ฯ” ชี้คอมมูนิตี้มอลล์ยังแห่เปิดได้อีก 150 แห่งในกทม. สยายปีกธุรกิจรับบริหารโครงการดีเดย์ปีหน้า พร้อมทุ่มงบ 1,000 ล้านบาท เพิ่มพื้นที่อีก 80,000 ตร.ม.ต่อปี สู่เป้าหมายปี 2556 รวม 5 แสนตร.ม.
นายนพพร วิฑูรชาติ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอฟ เปิดเผยว่า ธุรกิจค้าปลีกรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์ในไทยโดยเฉพาะกรุงเทพฯยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมากไม่ต่ำกว่า 150 แห่ง จากปัจจุบันที่มีประมาณ 100 แห่งแล้ว เนื่องจากการขยายตัวของเมืองที่ออกไปรอบนอกมากขึ้นส่งผลให้เกิดชุมชนมากขึ้นตามไปด้วย
นายวิเชฐ ตันติวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวเสริมว่า คอมมูนิตี้มอลล์จะเป็นเหมือนคอนวีเนียนสโตร์แล้ว ซึ่งรัศมี 10-15 กิโลเมตรสามารถเปิดได้ 1 แห่ง ทั้งนี้เอสเอฟฯยังมีแผนที่จะลงทุนต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมายภายในปี 2556 จะมีพื้นที่ค้าปลีกให้เช่ารวม 500,000 ตร.ม. จากปัจจุบันบริษัทฯมีพื้นที่รวมประมาณ 231,795 ตร.ม. จาก 30 โครงการ ในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา
โครงการล่าสุด คือ ส่วนขยายเฟสติวัลวอล์ค นวมินทร์อาร์ตวิลเลจ ลงทุน 240 ล้านบาท เปิดเดือนต.คนี้และบางส่วนของโครงการเมกะบางนาที่เป็นอิเกีย จะเปิดพ.ยนี้ ลงทุนรวมทั้งโครงการกว่า 12,500 ล้านบาท และในสิ้นปีหน้าคาดว่าจะมีรวม 400,000 กว่าตร.ม. เนื่องจากโครงการเมกะบางนาที่ร่วมทุนกับทางอิเกียมีพื้นที่โครงการกว่า 180,000 ตร.ม. จะเปิดบริการ
โดยวางแผนที่จะพัฒนาโครงการใหม่เฉลี่ย 2-3 แห่งต่อปี หรือมีพื้นที่เพิ่มขึ้น 80,000 ตร.ม.หรือเพิ่มขึ้น 20% ทุกปี ด้วยงบลงทุนเฉลี่ย 1,000 ล้านบาท ภายใต้ 5 แบรนด์หลักคือ โครงการ เจ อะเวนิว, เอสพลานาด, ลา วิลล่า, มาร์เก็ต เพลส และเฟสติวัล วอล์ค
แนวทางลงทุนในปีหน้าจะเพิ่มน้ำหนักของการรับบริหารโครงการและเป็นที่ปรึกษาโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ด้วย จากปัจจุบันมี 3 แบบคือ 1.การลงทุนเองทั้งหมด สัดส่วน 64% จาก 23 โครงการ รวมพื้นที่ 144,292 ตร.ม. 2.การร่วมลงทุน สัดส่วน 28% จาก 3 โครงการ รวมพื้นที่ 62,713 ตร.ม. และ 3. การเทคโอเวอร์โครงการ สัดส่วน 8% จาก 3 โครงการ รวมพื้นที่ 17,115 ตร.ม.
“ตอนนี้มีหลายโครงการทั้งที่เจ้าของลงทุนเปิดคอมมูนิตี้มอลล์ไปแล้วไม่สำเร็จรวมทั้งที่จะพัฒนาขึ้นมาใหม่ติดต่อให้เราเข้าบริหารจำนวนมาก แต่เราก็ต้องดูโครงการด้วย ว่าอันไหนมีศักยภาพหรือสามารถทำได้ ซึ่งตอนนี้มีสรุปบ้างแล้วบางโครงการ คาดว่าต้นปีหน้าจะเริ่มดำเนินการในส่วนนี้ได้”
ด้านผลประกอบการของบริษัทฯในปีหน้าคาดว่าจะเติบโต 50% จากสิ้นปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้รวมใกล้เคียงกับปี 2552 อยู่ที่กว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวลดลงจากปี 2553 ที่มีรายได้อยู่ที่2,138 ล้านบาท เนื่องจากปีดังกล่าวมีการขายโครงการซูซูกิอเวนิว รัชโยธิน เข้าเป็นสินทรัพย์ของกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ไลฟ์สไตล์ (MJLF)
นายนพพร วิฑูรชาติ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอฟ เปิดเผยว่า ธุรกิจค้าปลีกรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์ในไทยโดยเฉพาะกรุงเทพฯยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมากไม่ต่ำกว่า 150 แห่ง จากปัจจุบันที่มีประมาณ 100 แห่งแล้ว เนื่องจากการขยายตัวของเมืองที่ออกไปรอบนอกมากขึ้นส่งผลให้เกิดชุมชนมากขึ้นตามไปด้วย
นายวิเชฐ ตันติวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวเสริมว่า คอมมูนิตี้มอลล์จะเป็นเหมือนคอนวีเนียนสโตร์แล้ว ซึ่งรัศมี 10-15 กิโลเมตรสามารถเปิดได้ 1 แห่ง ทั้งนี้เอสเอฟฯยังมีแผนที่จะลงทุนต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมายภายในปี 2556 จะมีพื้นที่ค้าปลีกให้เช่ารวม 500,000 ตร.ม. จากปัจจุบันบริษัทฯมีพื้นที่รวมประมาณ 231,795 ตร.ม. จาก 30 โครงการ ในช่วง 17 ปีที่ผ่านมา
โครงการล่าสุด คือ ส่วนขยายเฟสติวัลวอล์ค นวมินทร์อาร์ตวิลเลจ ลงทุน 240 ล้านบาท เปิดเดือนต.คนี้และบางส่วนของโครงการเมกะบางนาที่เป็นอิเกีย จะเปิดพ.ยนี้ ลงทุนรวมทั้งโครงการกว่า 12,500 ล้านบาท และในสิ้นปีหน้าคาดว่าจะมีรวม 400,000 กว่าตร.ม. เนื่องจากโครงการเมกะบางนาที่ร่วมทุนกับทางอิเกียมีพื้นที่โครงการกว่า 180,000 ตร.ม. จะเปิดบริการ
โดยวางแผนที่จะพัฒนาโครงการใหม่เฉลี่ย 2-3 แห่งต่อปี หรือมีพื้นที่เพิ่มขึ้น 80,000 ตร.ม.หรือเพิ่มขึ้น 20% ทุกปี ด้วยงบลงทุนเฉลี่ย 1,000 ล้านบาท ภายใต้ 5 แบรนด์หลักคือ โครงการ เจ อะเวนิว, เอสพลานาด, ลา วิลล่า, มาร์เก็ต เพลส และเฟสติวัล วอล์ค
แนวทางลงทุนในปีหน้าจะเพิ่มน้ำหนักของการรับบริหารโครงการและเป็นที่ปรึกษาโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ด้วย จากปัจจุบันมี 3 แบบคือ 1.การลงทุนเองทั้งหมด สัดส่วน 64% จาก 23 โครงการ รวมพื้นที่ 144,292 ตร.ม. 2.การร่วมลงทุน สัดส่วน 28% จาก 3 โครงการ รวมพื้นที่ 62,713 ตร.ม. และ 3. การเทคโอเวอร์โครงการ สัดส่วน 8% จาก 3 โครงการ รวมพื้นที่ 17,115 ตร.ม.
“ตอนนี้มีหลายโครงการทั้งที่เจ้าของลงทุนเปิดคอมมูนิตี้มอลล์ไปแล้วไม่สำเร็จรวมทั้งที่จะพัฒนาขึ้นมาใหม่ติดต่อให้เราเข้าบริหารจำนวนมาก แต่เราก็ต้องดูโครงการด้วย ว่าอันไหนมีศักยภาพหรือสามารถทำได้ ซึ่งตอนนี้มีสรุปบ้างแล้วบางโครงการ คาดว่าต้นปีหน้าจะเริ่มดำเนินการในส่วนนี้ได้”
ด้านผลประกอบการของบริษัทฯในปีหน้าคาดว่าจะเติบโต 50% จากสิ้นปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้รวมใกล้เคียงกับปี 2552 อยู่ที่กว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวลดลงจากปี 2553 ที่มีรายได้อยู่ที่2,138 ล้านบาท เนื่องจากปีดังกล่าวมีการขายโครงการซูซูกิอเวนิว รัชโยธิน เข้าเป็นสินทรัพย์ของกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ไลฟ์สไตล์ (MJLF)