“บุญทรง” เปิดพิมพ์เขียว นโยบาย ศก.ประชานิยม พท.เจาะไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ทั้งบ้านหลังแรก รถยนต์คันแรก ปริญญาตรีหมื่นห้า พักหนี้ครัวเรือน และลดภาษีเบนซิน หวังมัดใจฐานเสียงระยะยาว ลงลึกถึงระดับครัวเรือน ด้านนัก ศศ.แนะค่าแรงขั้นต่ำทั่ว ปท.ต้องสมดุล “แรงงาน” ทวงสัญญา “ปู” หาเสียงเอาไว้ “นายแบงก์” ลุ้นผล กนง.ส่งสัญญาณ ดบ. สะท้อนเงินเฟ้อ นักลงทุนรอสัญญาณนกหวีด รถไฟฟ้า 20 บาท หนุนดีมานด์อสังหาฯ
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลังจากแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อสภาแล้ว กระทรวงการคลัง พร้อมเดินหน้าโครงการทันที สำหรับนโยบายเกี่ยวกับการซื้อที่อยู่อาศัย ด้วยการลดภาระการผ่อนชำระบ้านหลังแรก การลดภาษีสำหรับรถยนต์คันแรก การพักหนี้ภาคครัวเรือนมูลหนี้ต่ำกว่า 500,000 บาท และนโยบายด้านภาษีสรรพสามิตน้ำมัน
โดยการลดภาระผ่อนชำระบ้านหลังแรกราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จะดำเนินการผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยจะประกาศอีกครั้ง ว่า จะให้ผ่อนชำระอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 เป็นเวลากี่ปี และจะเปิดโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์ เข้าร่วมโครงการนี้ด้วย โดยรัฐบาลอาจจะอุดหนุนสิทธิประโยชน์ด้านภาษีให้ ส่วนเรื่องการพักหนี้ภาคครัวเรือนนั้น กำลังหารือร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อหาข้อยุติ
ส่วนการลดภาษีในการซื้อรถยนต์คันแรก ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท เชื่อว่า ไม่ทำให้เกิดการฟุ่มเฟือย แต่เพื่อช่วยเหลือผู้เริ่มทำงานใหม่ให้มีภาระลดลง เพราะมีรายได้ไม่มากนัก รวมทั้งช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการ จากการลดราคารถยนต์ที่จำหน่าย จากการลดภาษีไม่เกินคันละ 100,000 บาท หรืออาจจะช่วยลดภาระผ่อนต่องวดสำหรับต้นเงินกู้ โดยผู้ซื้อต้องเป็นเจ้าของรถ ห้ามซื้อหรือขายต่อในช่วง 5 ปีแรก
สำหรับการดูแลราคาน้ำมัน จะต้องหารือร่วมกับกระทรวงพลังงาน ให้ชัดเจน เนื่องจากต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับการลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของกระทรวงพลังงาน กรมสรรพสามิต ยอมรับว่า การปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล มีผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล จึงต้องดูแลราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และหากต้องลดการนำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันแล้ว จะต้องเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันในอัตราเท่าใด
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า ได้สรุปนโยบายการคืนภาษีสำหรับการซื้อรถยนต์คันแรกตามนโยบายของรัฐบาล ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิจารณาแล้ว รวมทั้งเสนอการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินตามนโยบายของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
**นัก ศศ.แนะค่าแรงสมดุลทั่วประเทศ
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า จากการสำรวจความคิดเห็นสมาชิกสหภาพแรงงานในเรื่องแรงงานขั้นต่ำ พบว่า แรงงานส่วนใหญ่เห็นว่าการปรับค่าแรง 300 บาทต่อวันมีความเหมาะสม จึงเห็นว่า ควรปรับค่าแรงแบบอัตราก้าวหน้า บางพื้นที่ควรปรับในครั้งเดียว 300 บาท สำหรับกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ที่มีผลกระทบ ควรทยอยปรับค่าแรงให้เหมาะสม
นอกจากนี้ แรงงานสัดส่วนร้อยละ 67.11 เห็นว่า ควรปรับค่าแรงเป็นอัตราเดียวกันทั้งประเทศ ขณะที่สัดส่วนร้อยละ 14.62 มองว่า ควรปรับตามพื้นที่แล้วแต่กลไกตลาด ซึ่งในการวิจัยพบว่าหากปรับเพิ่มค่าแรงงานขั้นต่ำ จะทำให้ต้นทุนเอสเอ็มอีเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 17.06 เป็นร้อยละ 23.48 ขณะที่ต้นทุนผู้ประกอบการขนาดใหญ่เพิ่มจากร้อยละ 14.14 เป็นร้อยละ 20.48 มองว่าการเพิ่มในสัดส่วนดังกล่าวหากลดปัญหาการทุจริตของหน่วยงานต่างๆ สามารถชดเชยภาระแรงงานที่เพิ่มขึ้นได้
โดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด จากการปรับเพิ่มค่าแรง มีอยู่ 5 กลุ่ม คือ กลุ่มผลิตชิ้นส่วนการขนส่ง การผลิตชิ้นส่วนการสื่อสาร การขนส่งรถพ่วงและกึ่งรถพ่วง ธุรกิจการพิมพ์และโฆษณา และสิ่งทอ และเห็นว่าในสถานการณ์ที่อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 0.7 นั้น เห็นว่าเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุดในการปรับเพิ่มค่าแรง เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม และยังแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ทั้งแรงงานที่ิผิดกฎหมายและถูกกฎหมาย
นอกจากนี้ ยังเห็นว่า การปรับเพิ่มค่าแรงงานครั้งนี้ไม่ส่งผลให้เอกชนถึงต้องปิดกิจการแต่อย่างใด และมองว่า การกำหนดอัตราค่าจ้างอัตราเดียวกันทั่วประเทศ จะทำให้แรงงานมีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานน้อยลง แรงงานได้อยู่กับครอบครัว ปัญหาครอบครัวน้อยลงอีกด้านหนึ่ง แต่การกำหนดอัตราเดียวอาจทำให้โรงงานย้ายฐานการลงทุนไปยังจังหวัดห่างไกลน้อยลง เนื่องจากไม่มีปัญหาเรื่องต้นทุนแรงงานราคาถูกจูงใจ โดยรัฐบาลต้องมีมาตรการจูงใจการออกไปลงทุนในภูมิภาค เพื่อกระจายความเจริญ
ทั้งนี้ หากควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ การปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงานจะช่วยกระตุ้นอำนาจซื้อ ทำให้แรงงานนอกระบบมีรายได้เพิ่มไปด้วย การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคและการลงทุนจะเพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยกำลังซื้อของเศรษฐกิจภายในประเทศร้อยละ 42 มาจากเงินเดือนและค่าจ้าง
**แรงงาน ทวง รบ.รักษาคำพูดที่หาเสียงเอาไว้
น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย กล่าวว่า อยากเรียกร้องให้รัฐบาลปรับเพิ่มค่าแรงตามที่หาเสียงไว้ เพื่อเป็นการรักษาคำพูดกับประชาชน และควรปรับเพิ่มค่าแรงงานเท่ากันทั้งประเทศ สำหรับเอกชนที่ได้รับผลกระทบรัฐบาลได้ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 30 และอาจมีมาตรการอื่นมาช่วยดูแลเพิ่มเติม โดยในช่วงจากนี้ไป 6 เดือนเป็นช่วงการปรับตัวของเอกชนก่อนปรับเพิ่มค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ
**นายแบงก์-นักลงทุน จับตาท่าที กนง.ส่งสัญญาณเงินเฟ้อ
นายฐากร ปิยะพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ต้องติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ในวันที่ 24 สิงหาคม 2554 นี้ จะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องหรือไม่ หลังจากรัฐบาลส่งสัญญาณให้ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ
ทั้งนี้ หากที่ประชุม กนง.ชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย สะท้อนได้ว่ามีการส่งสัญญาณบางอย่างเกิดขึ้น แต่ถ้าขึ้นอัตราดอกเบี้ย แสดงว่า มีความจำเป็นต้องควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น แต่เดิมธนาคารคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ร้อยละ 3.75 ภายในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 3.25
ส่วนแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่า ผู้ประกอบการจะรอดูความชัดเจนนโยบายบ้านหลังแรกของรัฐบาลใหม่ เพื่อกำหนดแผนการลงทุน ซึ่งหากเงื่อนไขออกมาตรงความต้องการตลาด ประกอบกับนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ยังเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นการซื้ออสังหาริมทรัพย์ อาจทำให้การแข่งขันทางด้านราคาสูงขึ้น ขณะที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เตรียมทั้งทางด้านราคา และการพิจารณาหาตลาดลูกค้าที่อยู่อาศัยกลุ่มใหม่ เพื่อรองรับนโยบายรัฐบาลด้วย
นายฐากร ไม่กังวลว่าจะเกิดฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ เพราะการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัย การเติบโตของโครงการใหม่ๆ และความต้องการอสังหาริมทรัพย์ สอดคล้องกัน สำหรับการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารครึ่งปีแรกของปีนี้ เป็นไปตามเป้าหมายที่ 15,000-16,000 ล้านบาท และคาดว่า ทั้งปีจะยังคงทำได้ตามเป้าหมายที่ 30,000 ล้านบาท