ไอดูไอซ์ ยัน มีสิทธ์และหลักฐานพร้อม ไม่หวั่นถูกอดีตผู้ถือหุ้นฟ้องร้อง ยอมรับกระทบการขายแฟรนไชส์ ผู้สนใจลังเลส่วนหนึ่ง พร้อมปรับลดเป้าเปิดสาขาใหม่
นางสาวชัญญา สุนทรวงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอ ดู ไอซ์ จำกัด ผู้บริหารร้านไอซ์มอนสเตอร์ เปิดเผยว่า กรณีข่าวปัญหาลิขสิทธิ์ร้านไอซ์มอนสเตอร์ในไทยที่เริ่มมีออกมาก่อนหน้านี้ และเกิดการฟ้องร้องกันขึ้น ยอมรับว่ากระทบต่อการขายแฟรนไชส์บ้าง เนื่องจากผู้ที่สนใจต้องการจะซื้ออาจจะเกิดความลังเลและสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น รวมทั้งผู้ที่เป็นแฟรนไชส์อยู่แล้วก็เกิดความสับสน โดยมีประมาณ 15% ของแฟรนไชส์ที่ได้สอบถามข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ยอมรับว่า ไอซ์มอนสเตอร์ที่บริษัทฯทำอยู่นี้ได้หมดลิขสิทธิ์จากเจ้าของไอซ์มอนสเตอร์ที่ฟิลิปินส์แล้วเมื่อเดือนมีนาคม-เมษายนที่ผ่านมา หลังจากซื้อแฟรนไชส์และมีสัญญารวม 5 ปีตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งบริษัทฯได้แจ้งไปว่าจะไม่ต่อสัญญาอีก ส่วนแบรนด์ที่ทำอยู่นี้บริษัทฯสามารถดำเนินการได้
อีกทั้งได้ยืนยันกับทางผู้ซื้อแฟรนไชส์ไปว่า ไม่ต้องห่วง เพราะเป็นเรื่องของการฟ้องร้องตัวบุคคลต่อบุคคล ไม่ได้ฟ้องร้องบริษัทฯ ซึ่งบริษัทฯก็ยังดำเนินการต่อไปได้ โดยบริษัทไอดูไอซ์มีทุนจดทะเบียน 1.8 ล้านบาท ซึ่งถือหุ้นในนามบุคลประมาณ 4-5 คน แต่ไม่มีชื่อของนายกรรชัย กำเนิดพลอย และนายอธิป โชติญาณวงษ์ แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดนายกรรชัย อดีตผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอดูไอซ์ จำกัด ได้ฟ้องนางสาวชัญญา และนายอธิป โชติญาณวงษ์ ต่อศาลนนทบุรีและศาลได้ประทับรับฟ้องแล้ว ขณะที่บริษัท ไอซ์มอนสเตอร์ จำกัด ของฟิลิปินส์ ก็ออกมาให้ข่าวว่า เตรียมที่จะฟ้องร้องทันทีเหมือนกัน หากทางไอดูไอซ์โดยนางสาวชัญญา ไม่ยอมรับการติดต่อเจรจากัน พร้อมกับให้ข้อมูลว่า นางสาวชัญญาผิดเงื่อนไขอะไรบางทั้งเรื่องของการไม่ได้จ่ายค่าเครื่องหมายการค้า การออกสินค้าใหม่โดยไม่ได้แจ้งบริษัทแม่ เป็นต้น
ซึ่งนางสาวชัญญา กล่าวว่า เรายังไม่ได้ดำเนินการฟ้องร้องอะไร ส่วนเรื่องที่ถูกฟ้องนั้น จะมีการแถลงข่าวอีกครั้งและรอศาลเรียกไปให้การก่อน ซึ่งมั่นใจในความบริสุทธิ์และข้อมูลหลักฐานที่มีอยู่
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาทางเจ้าของสิทธิ์มาดูแลบริษัทฯเพียงแค่ช่วงแรกในการเปิดสาขาแรกเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้มาดูแลอะไรอีกเลย อีกทั้งในส่วนของมาสคอตที่ทำขึ้นมานั้น เป็นการพัฒนาขึ้นมาเองไม่เกี่ยวกับทางเจ้าของสิทธิ์แต่อย่างใด
สำหรับแผนการดำเนินงานหลังจากมีเหตุการณ์ฟ้องร้องเกิดขึ้น ยอมรับว่ากระทบแผนงานบ้าง โดยได้ปรับลดเป้าหมายการขยายสาขาใหม่เหลือเพียง 20 สาขา จากเดิมต้นปีตั้งไว้ที่ 30 สาขา ครึ่งปีแรกเปิดแล้ว 5 สาขา เช่น เทสโก้โลตัสพระรามสี่ เซ็นทรัลเชียงราย อิมพีเรียลสำโรง ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ทั้งหมด ส่วนหลังจากนี้เตรียมเปิดสาขาใหม่ที่ เดอะมอลล์บางกะปิ 2 แห่ง เซ็นทรัลลาดพร้าว เซ็นทรัลพิษณุโลก เซ็นทรัลพระรามเก้า ปีนี้ใช้งบตลาด 20 ล้านบาท
จากนี้จะเน้นการเปิดสาขาที่ต่างจังหวัดเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันมีสาขารวม 45 แห่ง แบ่งเป็น แฟรนไชส์ 70% และของบริษัทฯ 30% ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 30 สาขา ในต่างจังหวัด 15 สาขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแฟรนไชส์ มีเพียงที่เดียวในต่างจังหวัดที่เป็นของบริษัทฯคือภูเก็ต
ส่วนเงื่อนไขแฟรนไชส์ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง คือ ลงทุนประมาณ 1.8 ล้านบาท พื้นที่ประมาณ 15 ตารางเมตร รูปแบบเทิรน์คีย์ ค่ารอยัลตี้และมาร์เก็ตติ้งฟี 7% จากรายได้ต่อเดือนก่อนหักภาษี อย่างไรก็ตามได้มีการปรับสัญญาใหม่ให้มีความเข้มงวดมากขึ้นในรายละเอียดเพื่อไม่ให้แฟรนไชส์ทำผิดสัญญาได้ เพราะที่ผ่านมา มีบางรายพยายามพัฒนาเมนูขนมขึ้นมาเองโดยไม่ได้แจ้งให้บริษัทฯทราบ
นางสาวชัญญากล่าวว่า ช่วงต้นปีตามแผนเดิมบริษัทฯตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 300 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่ทำได้ 220 ล้านบาท อย่างไรก็ตามเมื่อมีเหตุการณ์ฟ้องร้องเกิดขึ้น คาดว่าอย่างน้อยก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 260 ล้านบาท
นางสาวชัญญา สุนทรวงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอ ดู ไอซ์ จำกัด ผู้บริหารร้านไอซ์มอนสเตอร์ เปิดเผยว่า กรณีข่าวปัญหาลิขสิทธิ์ร้านไอซ์มอนสเตอร์ในไทยที่เริ่มมีออกมาก่อนหน้านี้ และเกิดการฟ้องร้องกันขึ้น ยอมรับว่ากระทบต่อการขายแฟรนไชส์บ้าง เนื่องจากผู้ที่สนใจต้องการจะซื้ออาจจะเกิดความลังเลและสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น รวมทั้งผู้ที่เป็นแฟรนไชส์อยู่แล้วก็เกิดความสับสน โดยมีประมาณ 15% ของแฟรนไชส์ที่ได้สอบถามข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ยอมรับว่า ไอซ์มอนสเตอร์ที่บริษัทฯทำอยู่นี้ได้หมดลิขสิทธิ์จากเจ้าของไอซ์มอนสเตอร์ที่ฟิลิปินส์แล้วเมื่อเดือนมีนาคม-เมษายนที่ผ่านมา หลังจากซื้อแฟรนไชส์และมีสัญญารวม 5 ปีตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งบริษัทฯได้แจ้งไปว่าจะไม่ต่อสัญญาอีก ส่วนแบรนด์ที่ทำอยู่นี้บริษัทฯสามารถดำเนินการได้
อีกทั้งได้ยืนยันกับทางผู้ซื้อแฟรนไชส์ไปว่า ไม่ต้องห่วง เพราะเป็นเรื่องของการฟ้องร้องตัวบุคคลต่อบุคคล ไม่ได้ฟ้องร้องบริษัทฯ ซึ่งบริษัทฯก็ยังดำเนินการต่อไปได้ โดยบริษัทไอดูไอซ์มีทุนจดทะเบียน 1.8 ล้านบาท ซึ่งถือหุ้นในนามบุคลประมาณ 4-5 คน แต่ไม่มีชื่อของนายกรรชัย กำเนิดพลอย และนายอธิป โชติญาณวงษ์ แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดนายกรรชัย อดีตผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอดูไอซ์ จำกัด ได้ฟ้องนางสาวชัญญา และนายอธิป โชติญาณวงษ์ ต่อศาลนนทบุรีและศาลได้ประทับรับฟ้องแล้ว ขณะที่บริษัท ไอซ์มอนสเตอร์ จำกัด ของฟิลิปินส์ ก็ออกมาให้ข่าวว่า เตรียมที่จะฟ้องร้องทันทีเหมือนกัน หากทางไอดูไอซ์โดยนางสาวชัญญา ไม่ยอมรับการติดต่อเจรจากัน พร้อมกับให้ข้อมูลว่า นางสาวชัญญาผิดเงื่อนไขอะไรบางทั้งเรื่องของการไม่ได้จ่ายค่าเครื่องหมายการค้า การออกสินค้าใหม่โดยไม่ได้แจ้งบริษัทแม่ เป็นต้น
ซึ่งนางสาวชัญญา กล่าวว่า เรายังไม่ได้ดำเนินการฟ้องร้องอะไร ส่วนเรื่องที่ถูกฟ้องนั้น จะมีการแถลงข่าวอีกครั้งและรอศาลเรียกไปให้การก่อน ซึ่งมั่นใจในความบริสุทธิ์และข้อมูลหลักฐานที่มีอยู่
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาทางเจ้าของสิทธิ์มาดูแลบริษัทฯเพียงแค่ช่วงแรกในการเปิดสาขาแรกเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้มาดูแลอะไรอีกเลย อีกทั้งในส่วนของมาสคอตที่ทำขึ้นมานั้น เป็นการพัฒนาขึ้นมาเองไม่เกี่ยวกับทางเจ้าของสิทธิ์แต่อย่างใด
สำหรับแผนการดำเนินงานหลังจากมีเหตุการณ์ฟ้องร้องเกิดขึ้น ยอมรับว่ากระทบแผนงานบ้าง โดยได้ปรับลดเป้าหมายการขยายสาขาใหม่เหลือเพียง 20 สาขา จากเดิมต้นปีตั้งไว้ที่ 30 สาขา ครึ่งปีแรกเปิดแล้ว 5 สาขา เช่น เทสโก้โลตัสพระรามสี่ เซ็นทรัลเชียงราย อิมพีเรียลสำโรง ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ทั้งหมด ส่วนหลังจากนี้เตรียมเปิดสาขาใหม่ที่ เดอะมอลล์บางกะปิ 2 แห่ง เซ็นทรัลลาดพร้าว เซ็นทรัลพิษณุโลก เซ็นทรัลพระรามเก้า ปีนี้ใช้งบตลาด 20 ล้านบาท
จากนี้จะเน้นการเปิดสาขาที่ต่างจังหวัดเป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันมีสาขารวม 45 แห่ง แบ่งเป็น แฟรนไชส์ 70% และของบริษัทฯ 30% ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 30 สาขา ในต่างจังหวัด 15 สาขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแฟรนไชส์ มีเพียงที่เดียวในต่างจังหวัดที่เป็นของบริษัทฯคือภูเก็ต
ส่วนเงื่อนไขแฟรนไชส์ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง คือ ลงทุนประมาณ 1.8 ล้านบาท พื้นที่ประมาณ 15 ตารางเมตร รูปแบบเทิรน์คีย์ ค่ารอยัลตี้และมาร์เก็ตติ้งฟี 7% จากรายได้ต่อเดือนก่อนหักภาษี อย่างไรก็ตามได้มีการปรับสัญญาใหม่ให้มีความเข้มงวดมากขึ้นในรายละเอียดเพื่อไม่ให้แฟรนไชส์ทำผิดสัญญาได้ เพราะที่ผ่านมา มีบางรายพยายามพัฒนาเมนูขนมขึ้นมาเองโดยไม่ได้แจ้งให้บริษัทฯทราบ
นางสาวชัญญากล่าวว่า ช่วงต้นปีตามแผนเดิมบริษัทฯตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 300 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้วที่ทำได้ 220 ล้านบาท อย่างไรก็ตามเมื่อมีเหตุการณ์ฟ้องร้องเกิดขึ้น คาดว่าอย่างน้อยก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 260 ล้านบาท