บริษัทนำเที่ยวหนีตาย ลดสัดส่วนการขายแพกเกจทัวร์ ปรับขายเฉพาะที่พักและตั๋วเครื่องบินทดแทน รับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยน นิยมเดินทางด้วยตัวเองมากขึ้น ยอมรับเอเยนต์ชะลอขายทัวร์เที่ยวประเทศไทย รอดูผลหลังเลือกตั้ง
นายสุรพล ศรีตระกูล อดีตนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว หรือแอตต้า และอดีตประธานกรรมการ บริษัท แจลแพค ทัวร์ แอนด์ เทรเวล(ไทยแลนด์) เปิดเผยว่า จากพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เริ่มหาข้อมูลเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเอง หรือเอฟไอที(FIT) มากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยวต่างเร่งปรับตัว เพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ โดยหันมาจัดแพกเกจตั๋วเครื่องบินและห้องพัก เสนอขายกับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นสัดส่วนที่มากกว่าการจัดแพกเกจทัวร์นำเที่ยวตามเส้นทางเป็นกลุ่มใหญ่ๆ
“ไลฟ์สไตล์การเดินทางท่องเที่ยวปรับเปลี่ยนตามสภาพสังคม คือแทนที่จะรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่แล้วเดินทางท่องเที่ยว ก็ปรับเปลี่ยนเป็นเดินทางในกลุ่มขนาดเล็กพอประมาณ สอดคล้องกับขนาดครอบครัวในปัจจุบันที่เริ่มเล็กลง จำนวนบุตรน้อยลง โดยการทำทัวร์ยังเป็นธุรกิจหลักของบริษัทนำเที่ยว แต่หากจะรอว่าต้องครบ 15 คนแล้วจึงเดินทาง คงเป็นไปได้ยาก บางครั้งทำให้ต้องยกเลิกการเดินทาง เพราะหาจำนวนได้ไม่ครบ หากจะเดินทางก็ไม่คุ้มทุน “
นักท่องเที่ยวมาซ้ำจึงเที่ยวเองได้
การปรับวิธีขาย โดยนำเสอนเฉพาะสินค้าที่นักท่องเที่ยวต้องการ เช่น แพกเกจตั๋วเครื่องบิน แพกเกจห้องพัก จะทำให้ขายง่ายขึ้น และนักท่องเที่ยวพอใจที่จะซื้อมากกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทย 60% เป็นกลุ่มที่เคยเดินทางมาแล้ว จึงพอที่จะรู้จักประเทศไทย และวิธีเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย หากเป็นนักท่องเที่ยวคนรุ่นใหม่ สามารถพุดภาษาอังกฤษได้ ก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องใช้บริการมัคคุเทศก์ จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินทางกับกลุ่มทัวร์ ซึ่งอาจพาไปในแหล่งท่องเที่ยวบางแห่งที่ไม่ต้องการจะไป
นายสุรพล กล่าวอีกว่า ล่าสุดตัวเอง อยู่ระหว่างจัดตั้งบริษัทนำเที่ยวขึ้นมาใหม่ เจาะกลุ่มเป้าหมายหลัก เป็นนักท่องเที่ยวจากตลาดญี่ปุ่น กลุ่มเป้าหมายรอง คือนักท่องเที่ยวจากตลาดอื่นๆ ที่มีศักยภาพ เช่น จีน, เกาหลี, รัสเซีย และยุโรปบางประเทศ ส่วนบริษัท แจลแพค ทัวร์ แอนด์ เทรเวล(ไทยแลนด์) ปัจจุบันปิดกิจการไปแล้ว แต่ไม่ใช้เพราะกิจการขาดทุน แต่เป็นเพราะสายการบินเจแปน แอร์ไลน์ ซึ่งเป็นเจ้าของเงินทุนใหญ่ ประสบปัญหาทางการเงิน จึงต้องการถอนทุนกลับไป
เอฟไอทีฮ่องกงเพิ่มเป็น 30%
นางพรศรี วิศวชัยพันธ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮองไทย(ประเทศไทย) จำกัด ทำธุรกิจทัวร์อินบาวนต์จากประเทศ ฮ่องกง จีน ไต้หวัน และมาเก๊า กล่าวว่า ในส่วนของบริษัทได้ปรับแผนการทำตลาดในประเทศฮ่องกง โดยหันมาขายแพกเกจ ห้องพักบวกตั๋วเครื่องบินมากขึ้น เพราะคนฮ่องกง นิยมเดินทางแบบ เอฟไอที
“ในอดีตชาวฮ่องกง 90% ซื้อทัวร์มาประเทศไทย อีก 10% เดินทางเอง แต่หลายปีมานี้สัดส่วนปรับเปลี่ยน เป็นเดินทางโดยซื้อทัวร์ลดลงเหลือ 60-70% อีก 30% เป็นแบบเอฟไอที ซึ่งกลุ่มที่ยังเดินทางโดยซื้อทัวร์เต็มรูปแบบ คือ ผู้สูงอายุ และคนทำงาน ที่ยังต้องการบริการอำนวยความสะดวก แต่ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ วัยรุ่น จะนิยมเดินทางเอง โดยใช้บริการของบริษัททัวร์เพียงแค่จองห้องพักและตั๋วเครื่องบิน”
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดนักท่องเที่ยวจากฮ่องกง มาประเทศไทย ครึ่งปีแรกปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 51 ซึ่งเป็นปีสถานการณ์ปกติ ไม่มีความวุ่นวายทางการเมือง แต่ช่วงเลือกตั้งถึงกลางเดือน ก.ค.นี้ ตัวแทนจำหน่ายในฮ่องกง ต่างชะลอการขายทัวร์มาประเทศไทย เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของไทย แต่หากผลการเลือกตั้งออกมาแล้วบ้านเมืองยังปกติก็จะทำตลาดขายประเทศไทยอย่างเต็มที่ ถ้าเป็นเช่นนั้นเชื่อว่า ภาพรวมปี 54 จะเติบโตกว่าปี 51 แน่นอน
นายสุรพล ศรีตระกูล อดีตนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว หรือแอตต้า และอดีตประธานกรรมการ บริษัท แจลแพค ทัวร์ แอนด์ เทรเวล(ไทยแลนด์) เปิดเผยว่า จากพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เริ่มหาข้อมูลเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเอง หรือเอฟไอที(FIT) มากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการบริษัทนำเที่ยวต่างเร่งปรับตัว เพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ โดยหันมาจัดแพกเกจตั๋วเครื่องบินและห้องพัก เสนอขายกับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นสัดส่วนที่มากกว่าการจัดแพกเกจทัวร์นำเที่ยวตามเส้นทางเป็นกลุ่มใหญ่ๆ
“ไลฟ์สไตล์การเดินทางท่องเที่ยวปรับเปลี่ยนตามสภาพสังคม คือแทนที่จะรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่แล้วเดินทางท่องเที่ยว ก็ปรับเปลี่ยนเป็นเดินทางในกลุ่มขนาดเล็กพอประมาณ สอดคล้องกับขนาดครอบครัวในปัจจุบันที่เริ่มเล็กลง จำนวนบุตรน้อยลง โดยการทำทัวร์ยังเป็นธุรกิจหลักของบริษัทนำเที่ยว แต่หากจะรอว่าต้องครบ 15 คนแล้วจึงเดินทาง คงเป็นไปได้ยาก บางครั้งทำให้ต้องยกเลิกการเดินทาง เพราะหาจำนวนได้ไม่ครบ หากจะเดินทางก็ไม่คุ้มทุน “
นักท่องเที่ยวมาซ้ำจึงเที่ยวเองได้
การปรับวิธีขาย โดยนำเสอนเฉพาะสินค้าที่นักท่องเที่ยวต้องการ เช่น แพกเกจตั๋วเครื่องบิน แพกเกจห้องพัก จะทำให้ขายง่ายขึ้น และนักท่องเที่ยวพอใจที่จะซื้อมากกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทย 60% เป็นกลุ่มที่เคยเดินทางมาแล้ว จึงพอที่จะรู้จักประเทศไทย และวิธีเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย หากเป็นนักท่องเที่ยวคนรุ่นใหม่ สามารถพุดภาษาอังกฤษได้ ก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องใช้บริการมัคคุเทศก์ จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเดินทางกับกลุ่มทัวร์ ซึ่งอาจพาไปในแหล่งท่องเที่ยวบางแห่งที่ไม่ต้องการจะไป
นายสุรพล กล่าวอีกว่า ล่าสุดตัวเอง อยู่ระหว่างจัดตั้งบริษัทนำเที่ยวขึ้นมาใหม่ เจาะกลุ่มเป้าหมายหลัก เป็นนักท่องเที่ยวจากตลาดญี่ปุ่น กลุ่มเป้าหมายรอง คือนักท่องเที่ยวจากตลาดอื่นๆ ที่มีศักยภาพ เช่น จีน, เกาหลี, รัสเซีย และยุโรปบางประเทศ ส่วนบริษัท แจลแพค ทัวร์ แอนด์ เทรเวล(ไทยแลนด์) ปัจจุบันปิดกิจการไปแล้ว แต่ไม่ใช้เพราะกิจการขาดทุน แต่เป็นเพราะสายการบินเจแปน แอร์ไลน์ ซึ่งเป็นเจ้าของเงินทุนใหญ่ ประสบปัญหาทางการเงิน จึงต้องการถอนทุนกลับไป
เอฟไอทีฮ่องกงเพิ่มเป็น 30%
นางพรศรี วิศวชัยพันธ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮองไทย(ประเทศไทย) จำกัด ทำธุรกิจทัวร์อินบาวนต์จากประเทศ ฮ่องกง จีน ไต้หวัน และมาเก๊า กล่าวว่า ในส่วนของบริษัทได้ปรับแผนการทำตลาดในประเทศฮ่องกง โดยหันมาขายแพกเกจ ห้องพักบวกตั๋วเครื่องบินมากขึ้น เพราะคนฮ่องกง นิยมเดินทางแบบ เอฟไอที
“ในอดีตชาวฮ่องกง 90% ซื้อทัวร์มาประเทศไทย อีก 10% เดินทางเอง แต่หลายปีมานี้สัดส่วนปรับเปลี่ยน เป็นเดินทางโดยซื้อทัวร์ลดลงเหลือ 60-70% อีก 30% เป็นแบบเอฟไอที ซึ่งกลุ่มที่ยังเดินทางโดยซื้อทัวร์เต็มรูปแบบ คือ ผู้สูงอายุ และคนทำงาน ที่ยังต้องการบริการอำนวยความสะดวก แต่ถ้าเป็นคนรุ่นใหม่ วัยรุ่น จะนิยมเดินทางเอง โดยใช้บริการของบริษัททัวร์เพียงแค่จองห้องพักและตั๋วเครื่องบิน”
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดนักท่องเที่ยวจากฮ่องกง มาประเทศไทย ครึ่งปีแรกปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 51 ซึ่งเป็นปีสถานการณ์ปกติ ไม่มีความวุ่นวายทางการเมือง แต่ช่วงเลือกตั้งถึงกลางเดือน ก.ค.นี้ ตัวแทนจำหน่ายในฮ่องกง ต่างชะลอการขายทัวร์มาประเทศไทย เนื่องจากกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของไทย แต่หากผลการเลือกตั้งออกมาแล้วบ้านเมืองยังปกติก็จะทำตลาดขายประเทศไทยอย่างเต็มที่ ถ้าเป็นเช่นนั้นเชื่อว่า ภาพรวมปี 54 จะเติบโตกว่าปี 51 แน่นอน
