“ศรีทองพาณิชย์กรุ๊ป” ดันรุ่น3เข้ามาบริหาร สยายปีก ลุยธุรกิจเทรดดิ้งโฟกัสเสื้อฟ้าแฟชั่นและเครื่องสำอาง พร้อมลุยโรงแรม-อสังหาริมทรัพย์เต็มตัว ปลายปีเตรียมขึ้นโรงแรมที่พัทยา ล่าสุดคว้าสิทธิ์ขายนาฬิกาวาเบเน่จากอิตาลี
นางวิภาวรรณ มหาดำรงค์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีทองพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า นโยบายจากนี้ไปของศรีทองพาณิช์ย์กรุ๊ปจะขยายไลน์ธุกริจเพิ่มขึ้น จากเดิมที่จำหน่ายนาฬิกามานานกว่า 51 ปี รวมทั้งการเปิดทางให้ลูกหลานตระกูลมหาดำรงค์กุลในรุ่นที่ 3 เข้ามาขยายและบริหารธุรกิจมากขึ้น ซึ่งขณะนี้มีทายาทรวม 5 คนแล้วที่เข้ามาบริหารงาน
อีกทั้งเมื่อสิ้นปีที่แล้วเปลี่ยนสถานกาพจากห้างหุ้นส่วนจำกัดมาเป็นบริษัทจำกัด และเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 100 ล้านบาทเป็น 200 ล้านบาท และเตรียมย้ายสำนักงานใหญ่จากถนนเยาวราชที่อยู่มานานกว่า 50 ปี ไปที่อาคารเลอคองคอร์ดออฟฟิศ ตามนโยบายของนายดิลก มหาดำรงค์กุล ผู้ก่อตั้ง
ทั้งนี้มีแผนที่จะขยายไลน์ธุรกิจเทรดดิ้งไปยังกลุ่มสินค้าแฟชั่นเสื้อผ้าและเครื่องสำอางค์ ต่อยอดจากเดิมคือจำหน่ายนาฬิกา กับกลุ่มโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มทำมาบ้างแล้วประมาณ 12 ปี แต่จากนี้จะรุกหนัก
สำหรับกลุ่มแฟชันนั้น อยู่ระหว่างการพิจารณานำเข้าเสื้อผ้าแฟชั่นจากประเทศอิตาลีมาจำหน่าย ส่วนเครื่องสำอางมีแผนจะนำเข้าเบรนด์จากประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีเข้ามาทำตลาด ขณะที่กลุ่มนาฬิกานั้นก็จะขยายไลน์ไปยังกลุ่มแฟชั่น จากเดิมที่เน้นแบรนด์เทคโนโลยี
ส่วนกลุ่มโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ วางแผนจะลงทุนก่อสร้างโรงแรมที่พัทยา พื้นที่ประมาณ 17 ไร่ ใกล้กับหาดจอมเทียน ขนาด 300 ห้อง ยังไม่สรุปว่าจะบริหารเองหรือว่าจ้างเชนต่างประเทศบริหาร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบเตรียมก่อสร้างปลายปีนี้ งบลงทุนยังไม่สรุป ปัจจุบันมีอาคารสำนักงานหลายแห่งเช่นที่ ตึกเอ็มดีทาวเวอร์ บางนา, ตึกทุนดำรงค์ และโรงแรมเลอคองคอร์ดโฮเต็ลรัชดาภิเษก
“ตอนนี้เราไม่ได้หยุดอยู่แค่ธุรกิจนาฬิกาอย่างเดียวแล้ว จะขยายธุรกิจใหม่ แต่ว่านาฬิกายังคงเป็นธุกริจหลักของกลุ่มเราอยู่ แม้ว่าเดิมมีสัดส่วนรายได้ 100% ในอดีตก็ตา ม แต่ปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 30% ขณะที่กลุ่มโรงแรมและอสังหามีสัดส่วนรายได้ 70% ก็ตาม เพราะว่า โรงแรมและอสังหาเป็นธุกริจที่มีรายได้สูงกว่า และมีกำไรมากกว่า โดยรายได้ทั้งกลุ่มมีประมาณ 4,000 กว่าล้านบาท”
นางวิภาวรรณกล่าวต่อถึงแผนการทำธุรกิจกลุ่มนาฬิกาว่า ปีนี้บริษัทฯได้รับลิขสิทธิ์นำเข้าและจำหน่ายเพิ่มอีกแบรนด์คือ Vabene จากประเทศอิตาลี เริ่มเมื่อเดือนที่แล้วเป็นทาางการ เป็นแนวแฟชั่น เป็นครั้งแรกที่ทำตลาดเซ็กเม้นต์นี้ ส่งผลให้ปัจจุบันมีนาฬิกาที่รับผิดชอบรวม 6 แบรนด์คือ ซิติเซ็น สัดส่วนรายได้ 50% ส่วนที่เหลืออีก 50% เป็น มิโด ราโด แฮมิลตัน บอลล์ และวาเบเน่ รวมกัน ซึ่งปีนี้ยังไม่มีแผนจะเพื่มแบรรนด์ใหม่อีกแล้ว
สำหรับแบรนด์วาเบเน จับกลุ่มผู้หญิง อายุ 19-45 ปี วัยรุ่นและวัยทำงาน เป็นแนวแฟชั่น ราคาระดับ 5,500 - 50,000 บาทต่อเรือน ตั้งงบการตลาดแบรนด์ใหม่ 30 ล้านบาท ทั้งอะโบฟเดอะไลน์และบีโลว์เดอะไลน์ และมีแผนที่จะกระจายการจัดจำหน่ายในปี 2554 นี้ได้อย่างต่ำ 15 แห่งในห้างสรรพสินค้าชั้นนำในกรุงเทพฯ เช่น สยามพารากอน ดิเอ็มโพเรียม เซ็นทรัลชิดลม เป็นต้นและคาดว่าในปี 2555 จะครอบคลุม 45 แห่งของห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
ทั้งนี้บริษัทฯคาดว่ายอดขายในช่วงปีแรกนี้คือ 6 เดือนจากนี้จะทำได้ประมาณ 50 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโต 15% ต่อปี ซึ่งตลาดรวมนาฬิกามีการเติบโตต่อเนื่องคาดว่าจะอยู่ที่ 10% โดยเฉพาะช่องทางจำหน่ายในศูนย์การค้าจะพบว่ามีการเปิดสาขาใหม่ 2-3 ศูนย์ต่อปี และมัน่ใจว่าแบรนด์ใหม่นี้จะผลักดันให้บริษัทฯมีแชร์ในตลาดนาฬิการวม 12% จากตลาดรวมที่มีมากกว่า 240 แบรดน์
“ช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ซิตี้เซ็นแบรนด์เดียวเติบโต 20% แต่ทั้งบริษัททุกแบรนด์เติบโต 12% ซึ่งช่วงเลือกตั้งนี้มีผลเหมือนกัน ที่ยอดขายนาฬิกาเติบโตขึ้น โดยเฉพาะในต่างจังหวัดพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเราเติบโตมากถึง 10% จากปรกติ ส่วนปีนี้ทั้งปีตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตทั้งกลุ่ม 20% จากปีที่แล้วที่เติบโต 11% จากช่องทางที่ผ่าน ดีลเลอร์กว่า 500 ราย และผ่านห้างสรรพสินค้าอีก 55 สาขา” นางวิภาวรรณกล่าว
นางวิภาวรรณ มหาดำรงค์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีทองพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า นโยบายจากนี้ไปของศรีทองพาณิช์ย์กรุ๊ปจะขยายไลน์ธุกริจเพิ่มขึ้น จากเดิมที่จำหน่ายนาฬิกามานานกว่า 51 ปี รวมทั้งการเปิดทางให้ลูกหลานตระกูลมหาดำรงค์กุลในรุ่นที่ 3 เข้ามาขยายและบริหารธุรกิจมากขึ้น ซึ่งขณะนี้มีทายาทรวม 5 คนแล้วที่เข้ามาบริหารงาน
อีกทั้งเมื่อสิ้นปีที่แล้วเปลี่ยนสถานกาพจากห้างหุ้นส่วนจำกัดมาเป็นบริษัทจำกัด และเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 100 ล้านบาทเป็น 200 ล้านบาท และเตรียมย้ายสำนักงานใหญ่จากถนนเยาวราชที่อยู่มานานกว่า 50 ปี ไปที่อาคารเลอคองคอร์ดออฟฟิศ ตามนโยบายของนายดิลก มหาดำรงค์กุล ผู้ก่อตั้ง
ทั้งนี้มีแผนที่จะขยายไลน์ธุรกิจเทรดดิ้งไปยังกลุ่มสินค้าแฟชั่นเสื้อผ้าและเครื่องสำอางค์ ต่อยอดจากเดิมคือจำหน่ายนาฬิกา กับกลุ่มโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ ที่เริ่มทำมาบ้างแล้วประมาณ 12 ปี แต่จากนี้จะรุกหนัก
สำหรับกลุ่มแฟชันนั้น อยู่ระหว่างการพิจารณานำเข้าเสื้อผ้าแฟชั่นจากประเทศอิตาลีมาจำหน่าย ส่วนเครื่องสำอางมีแผนจะนำเข้าเบรนด์จากประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีเข้ามาทำตลาด ขณะที่กลุ่มนาฬิกานั้นก็จะขยายไลน์ไปยังกลุ่มแฟชั่น จากเดิมที่เน้นแบรนด์เทคโนโลยี
ส่วนกลุ่มโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ วางแผนจะลงทุนก่อสร้างโรงแรมที่พัทยา พื้นที่ประมาณ 17 ไร่ ใกล้กับหาดจอมเทียน ขนาด 300 ห้อง ยังไม่สรุปว่าจะบริหารเองหรือว่าจ้างเชนต่างประเทศบริหาร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบเตรียมก่อสร้างปลายปีนี้ งบลงทุนยังไม่สรุป ปัจจุบันมีอาคารสำนักงานหลายแห่งเช่นที่ ตึกเอ็มดีทาวเวอร์ บางนา, ตึกทุนดำรงค์ และโรงแรมเลอคองคอร์ดโฮเต็ลรัชดาภิเษก
“ตอนนี้เราไม่ได้หยุดอยู่แค่ธุรกิจนาฬิกาอย่างเดียวแล้ว จะขยายธุรกิจใหม่ แต่ว่านาฬิกายังคงเป็นธุกริจหลักของกลุ่มเราอยู่ แม้ว่าเดิมมีสัดส่วนรายได้ 100% ในอดีตก็ตา ม แต่ปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 30% ขณะที่กลุ่มโรงแรมและอสังหามีสัดส่วนรายได้ 70% ก็ตาม เพราะว่า โรงแรมและอสังหาเป็นธุกริจที่มีรายได้สูงกว่า และมีกำไรมากกว่า โดยรายได้ทั้งกลุ่มมีประมาณ 4,000 กว่าล้านบาท”
นางวิภาวรรณกล่าวต่อถึงแผนการทำธุรกิจกลุ่มนาฬิกาว่า ปีนี้บริษัทฯได้รับลิขสิทธิ์นำเข้าและจำหน่ายเพิ่มอีกแบรนด์คือ Vabene จากประเทศอิตาลี เริ่มเมื่อเดือนที่แล้วเป็นทาางการ เป็นแนวแฟชั่น เป็นครั้งแรกที่ทำตลาดเซ็กเม้นต์นี้ ส่งผลให้ปัจจุบันมีนาฬิกาที่รับผิดชอบรวม 6 แบรนด์คือ ซิติเซ็น สัดส่วนรายได้ 50% ส่วนที่เหลืออีก 50% เป็น มิโด ราโด แฮมิลตัน บอลล์ และวาเบเน่ รวมกัน ซึ่งปีนี้ยังไม่มีแผนจะเพื่มแบรรนด์ใหม่อีกแล้ว
สำหรับแบรนด์วาเบเน จับกลุ่มผู้หญิง อายุ 19-45 ปี วัยรุ่นและวัยทำงาน เป็นแนวแฟชั่น ราคาระดับ 5,500 - 50,000 บาทต่อเรือน ตั้งงบการตลาดแบรนด์ใหม่ 30 ล้านบาท ทั้งอะโบฟเดอะไลน์และบีโลว์เดอะไลน์ และมีแผนที่จะกระจายการจัดจำหน่ายในปี 2554 นี้ได้อย่างต่ำ 15 แห่งในห้างสรรพสินค้าชั้นนำในกรุงเทพฯ เช่น สยามพารากอน ดิเอ็มโพเรียม เซ็นทรัลชิดลม เป็นต้นและคาดว่าในปี 2555 จะครอบคลุม 45 แห่งของห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
ทั้งนี้บริษัทฯคาดว่ายอดขายในช่วงปีแรกนี้คือ 6 เดือนจากนี้จะทำได้ประมาณ 50 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโต 15% ต่อปี ซึ่งตลาดรวมนาฬิกามีการเติบโตต่อเนื่องคาดว่าจะอยู่ที่ 10% โดยเฉพาะช่องทางจำหน่ายในศูนย์การค้าจะพบว่ามีการเปิดสาขาใหม่ 2-3 ศูนย์ต่อปี และมัน่ใจว่าแบรนด์ใหม่นี้จะผลักดันให้บริษัทฯมีแชร์ในตลาดนาฬิการวม 12% จากตลาดรวมที่มีมากกว่า 240 แบรดน์
“ช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ซิตี้เซ็นแบรนด์เดียวเติบโต 20% แต่ทั้งบริษัททุกแบรนด์เติบโต 12% ซึ่งช่วงเลือกตั้งนี้มีผลเหมือนกัน ที่ยอดขายนาฬิกาเติบโตขึ้น โดยเฉพาะในต่างจังหวัดพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเราเติบโตมากถึง 10% จากปรกติ ส่วนปีนี้ทั้งปีตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตทั้งกลุ่ม 20% จากปีที่แล้วที่เติบโต 11% จากช่องทางที่ผ่าน ดีลเลอร์กว่า 500 ราย และผ่านห้างสรรพสินค้าอีก 55 สาขา” นางวิภาวรรณกล่าว