ทรูมูฟ ร้อง กสทช.ถอนใบอนุญาต ดีแทค ชี้ ขัดรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 84 (1) กับมาตรา 8 พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม 2544 ยันหากไร้ผลจะร้องถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน
วานนี้ (21 มิ.ย.) เมื่อเวลา 15.00 บริษัท ทรูมูฟ มอบหมายให้ นางศุภสรณ์ โหรชัยยะ เป็นตัวแทนยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เกี่ยวกับการประกอบกิจการของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) เพื่อให้เพิกถอนใบอนุญาต (ไลเซนส์) เนื่องจากขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 84(1) ห้ามรัฐประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชน
จากกฎหมายดังกล่าวทรูมูฟ เห็นว่า ต้องตีความด้วยว่า ห้ามรัฐต่างด้าวไม่ว่าจะประเทศใดก็ตาม ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับผู้ประกอบการที่เป็นเอกชนไทย ยกเว้นกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐ ในการรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม และเพื่อประโยชน์ในการจัดให้มีการสาธารณูปโภคเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 บัญญัติชัดเจนว่า แม้แต่รัฐไทยยังห้ามประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชนไทย
นอกจากนี้ ทรูมูฟ ยังร้องว่า ดีแทคขัดต่อมาตรา 8 พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 ที่ระบุว่าผู้ได้รับใบอนุญาตประเภทที่ 2 และประเภทที่ 3 ต้องไม่ใช่ต่างด้าว
“ที่เราร้องกับ กสทช.ครั้งนี้ ข้อมูลจะละเอียดและลงลึกกว่าการร้องกองปราบ แต่ที่กองปราบเป็นการแจ้งความเอาผิดทางอาญาซึ่งไม่สามารถยอมความได้ เพราะถ้าเราถอนฟ้องก็จะเป็นการแจ้งความเท็จ และภายในสัปดาห์นี้เราจะเข้าไปให้ปากคำกับกองปราบ” นางศุภสรณ์ กล่าว
นอกจากนี้ ทรูมูฟ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและพิจารณาว่าจะต้องร้องถึงผู้ตรวจการแผ่นดินหรือไม่ เพราะทรูมูฟมองว่าการเรียกร้ององค์กรต่างๆ ตรงไหนที่ดำเนินการได้เร็วและเป็นผลดีกับทรูมูฟก็จะดำเนินการทันที
“เราไม่ได้กีดกันต่างด้าว เมื่อมีการเปิดเสรี หากกฎหมายกำหนดให้ต่างด้าวถือ 100% ก็คือ 100% แต่ขณะนี้กฎหมายกำหนดให้ต่างด้าวถือหุ้นได้ไม่เกิน 49% แต่ถ้าการพิจาณาของกระทรวงพาณิชย์ออกมาอย่างไร เราก็พร้อมจะน้อมรับ” นางศุภสรณ์ กล่าว
การร้อง กสทช.ครั้งนี้ มี นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ รักษาการเลขาธิการ กสทช.รับเรื่องแทนประธาน กทช.ปฏิบัติหน้าที่ กสทช.และจะนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด กสทช.) เพื่อหารือกันว่าเรื่องดังกล่าวจะดำเนินการอย่างไร เนื่องจากดีแทคไม่ได้รับใบอนุญาตจาก กทช.แต่เป็นการประกอบธุรกิจภายใต้สัญญาสัมปทานของบริษัท กสท โทรคมนาคม เพียงแต่การประกอบกิจการโทรคมนาคมจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช.ซึ่งศาลปกครองได้มีคำสั่งมาชัดเจนแล้ว รวมทั้งกิจการดาวเทียมก็ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช.เช่นเดียวกัน
นายฐากร กล่าวว่า กรณีดีแทคนั้นถึงจะเป็นการพิจารณาเกี่ยวกับการประกอบกิจการโทรคมนาคม แต่ก็ต้องยึดการพิจารณาจากกระทรวงพาณิชย์เป็นหลัก เพราะมี พ.ร.บ.ชัดเจน ขณะที่ของ กสทช. เป็นเพียงประกาศ ส่วนร่างประกาศ กทช.เรื่องการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว ก็ยังไม่มีผลบังคับใช้ ต้องมีการทำประชาพิจารณ์อีก
แหล่งข่าวจากดีแทคกล่าวว่า หากการถือครองหุ้นในปัจจุบันเป็นการทำผิด พ.ร.บ.ประกอบกิจการของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ตามระเบียบของกระทรวงพาณิชย์ ดีแทคก็จะมีการปรับโครงสร้างการถือครองหุ้นใหม่ โดยจะกระจายหุ้นให้เป็นไปตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด
“เขาอยากจะทำอะไรก็ถือเป็นสิทธิของเขา แต่เรายังยืนยันว่า ทุกอย่างปฏิบัติถูกต้อง ซึ่งเรื่องการปรับโครงสร้างก็ต้องรอการประชุมผู้ถือหุ้นก่อน”
วานนี้ (21 มิ.ย.) เมื่อเวลา 15.00 บริษัท ทรูมูฟ มอบหมายให้ นางศุภสรณ์ โหรชัยยะ เป็นตัวแทนยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เกี่ยวกับการประกอบกิจการของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) เพื่อให้เพิกถอนใบอนุญาต (ไลเซนส์) เนื่องจากขัดกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 84(1) ห้ามรัฐประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชน
จากกฎหมายดังกล่าวทรูมูฟ เห็นว่า ต้องตีความด้วยว่า ห้ามรัฐต่างด้าวไม่ว่าจะประเทศใดก็ตาม ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับผู้ประกอบการที่เป็นเอกชนไทย ยกเว้นกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐ ในการรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม และเพื่อประโยชน์ในการจัดให้มีการสาธารณูปโภคเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 บัญญัติชัดเจนว่า แม้แต่รัฐไทยยังห้ามประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชนไทย
นอกจากนี้ ทรูมูฟ ยังร้องว่า ดีแทคขัดต่อมาตรา 8 พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 ที่ระบุว่าผู้ได้รับใบอนุญาตประเภทที่ 2 และประเภทที่ 3 ต้องไม่ใช่ต่างด้าว
“ที่เราร้องกับ กสทช.ครั้งนี้ ข้อมูลจะละเอียดและลงลึกกว่าการร้องกองปราบ แต่ที่กองปราบเป็นการแจ้งความเอาผิดทางอาญาซึ่งไม่สามารถยอมความได้ เพราะถ้าเราถอนฟ้องก็จะเป็นการแจ้งความเท็จ และภายในสัปดาห์นี้เราจะเข้าไปให้ปากคำกับกองปราบ” นางศุภสรณ์ กล่าว
นอกจากนี้ ทรูมูฟ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและพิจารณาว่าจะต้องร้องถึงผู้ตรวจการแผ่นดินหรือไม่ เพราะทรูมูฟมองว่าการเรียกร้ององค์กรต่างๆ ตรงไหนที่ดำเนินการได้เร็วและเป็นผลดีกับทรูมูฟก็จะดำเนินการทันที
“เราไม่ได้กีดกันต่างด้าว เมื่อมีการเปิดเสรี หากกฎหมายกำหนดให้ต่างด้าวถือ 100% ก็คือ 100% แต่ขณะนี้กฎหมายกำหนดให้ต่างด้าวถือหุ้นได้ไม่เกิน 49% แต่ถ้าการพิจาณาของกระทรวงพาณิชย์ออกมาอย่างไร เราก็พร้อมจะน้อมรับ” นางศุภสรณ์ กล่าว
การร้อง กสทช.ครั้งนี้ มี นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ รักษาการเลขาธิการ กสทช.รับเรื่องแทนประธาน กทช.ปฏิบัติหน้าที่ กสทช.และจะนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด กสทช.) เพื่อหารือกันว่าเรื่องดังกล่าวจะดำเนินการอย่างไร เนื่องจากดีแทคไม่ได้รับใบอนุญาตจาก กทช.แต่เป็นการประกอบธุรกิจภายใต้สัญญาสัมปทานของบริษัท กสท โทรคมนาคม เพียงแต่การประกอบกิจการโทรคมนาคมจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช.ซึ่งศาลปกครองได้มีคำสั่งมาชัดเจนแล้ว รวมทั้งกิจการดาวเทียมก็ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช.เช่นเดียวกัน
นายฐากร กล่าวว่า กรณีดีแทคนั้นถึงจะเป็นการพิจารณาเกี่ยวกับการประกอบกิจการโทรคมนาคม แต่ก็ต้องยึดการพิจารณาจากกระทรวงพาณิชย์เป็นหลัก เพราะมี พ.ร.บ.ชัดเจน ขณะที่ของ กสทช. เป็นเพียงประกาศ ส่วนร่างประกาศ กทช.เรื่องการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว ก็ยังไม่มีผลบังคับใช้ ต้องมีการทำประชาพิจารณ์อีก
แหล่งข่าวจากดีแทคกล่าวว่า หากการถือครองหุ้นในปัจจุบันเป็นการทำผิด พ.ร.บ.ประกอบกิจการของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ตามระเบียบของกระทรวงพาณิชย์ ดีแทคก็จะมีการปรับโครงสร้างการถือครองหุ้นใหม่ โดยจะกระจายหุ้นให้เป็นไปตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด
“เขาอยากจะทำอะไรก็ถือเป็นสิทธิของเขา แต่เรายังยืนยันว่า ทุกอย่างปฏิบัติถูกต้อง ซึ่งเรื่องการปรับโครงสร้างก็ต้องรอการประชุมผู้ถือหุ้นก่อน”
