"ฮอทพอท" ห้าวปรับเกมรุก เพิ่มงบลงทุน เป็น 250 ล. ผุดสาขาใหม่ 20 สาขา อ้างเนื้อหอมเจ้าของพื้นที่ค้าปลีกรุมจีบเสนอพื้นที่ให้ ปลื้มผลสร้างแบรนด์ปีที่แล้วดันยอดโต 30% สูงสุดรอบ 3 ปี มั่นใจปีนี้รายได้ทะลุ 1,500 ล้านบาท
นางสาวสกุณา บ่ายเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮอท พอท จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทฯได้ปรับแผนการลงทุนใหม่โดยจะเพิ่มงบลงทุนเป็น 250 ล้านบาท แบ่งเป็นงบตลาด 100 ล้านบาท และงบ 150 ล้านบาท เปิดสาขาร้านอาหารในเครือทุกแบรนด์รวมกันเป็น 20 สาขา จากเดิมที่วางงบประมาณไว้ 110 ล้านบาท เปิดเพียง 12-15 สาขาเท่านั้นหรือเพิ่มอีก 40 ล้านบาท โดยลงทุนเฉลี่ย 6-7 ล้านบาทต่อสาขา
แต่จะเน้นไปที่รูปแบบร้านฮอท พอท บุฟเฟต์ แวลู และ ฮอท พอท อินเตอร์ บุฟเฟต์ โดย 4 เดือนแรกปีนี้เปิดสาขาใหม่ไปแล้ว 4 สาขา และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีสาขาทุกแบรนด์รวมกันประมาณ 100 สาขา จากปัจจุบันที่มีเปิดบริการแล้ว 83 สาขา จาก 5 แบรนด์รวมกันคือ ฮอท พอท บุฟเฟต์ แวลู 58 แห่ง , ฮอท พอท อินเตอร์ บุฟเฟต์ 21 แห่ง ,ฮอท พอท สุกี้ ชาบู 2 แห่ง , ฮอท พอท ราเมน บุฟเฟต์ และ เพรสทีจ บาย ฮอทพอท อย่างละ 1 สาขา
สาเหตุที่มีขยายการลงทุนมากขึ้นเนื่องจากว่า ในปีนี้มีผู้ประกอบการเปิดศูนย์การค้าสมัยใหม่ทั้งคอมมูนิตี้มอล์ ดิสเคานต์สโตร์ และศูนย์การค้าเป็นจำนวนมาก และบริษัทฯก็ได้รับการเสนอพื้นที่เข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสที่จะลงทุน ประกอบกับ ยอดขายรวมเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมาทำได้ประมาณ 1,100 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตมากถึง 30% ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงสุดในรอบ 3 ปี จากปีก่อนหน้าที่มียอดขายรวมเพียง 860 ล้านบาทเท่านั้น
"การที่ยอดขายรวมเราเติบโตมากขนาดนี้ เป็นผลมาจากการที่เราเริ่มปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ใหม่เมื่อช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ด้วยการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาและการทำตลาด การทำโปรโมชั่น ส่งผลให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น และมีสาขาเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้นเช่นกัน จากเดิมก่อนหน้านี้ไม่มีการสร้างแบรนด์ไม่มีหนังโฆษณาแต่อย่างใด ดังนั้นปีนี้จึงมีแผนที่จะสร้างแบรนด์ต่อเนื่อง ด้วยงบการตลาดที่วางไว้ 100 ล้านบาท ซึ่งประมาณ 80% จะนำมาใช้กับหนังโฆษณาชุดใหม่ เพื่อตอกย้ำแบรนด์ ส่วนงบที่เหลือ 20% จะใช้ในการทำตลาดโปรโมชันต่างๆ"
ขณะเดียวกันยังได้ปรับเงื่อนไขเกี่ยวกับบัตรสมาชิกใหม่ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกและสามารถใช้ได้กับร้านอาหารทุกแบรนด์ในเครือตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ จากเดิมที่จะใช้ได้เฉพาะร้านฮอท พอท อินเตอร์ บุฟเฟต์ เท่านั้น ปัจจุบันบริษัทฯมีจำนวนสมาชิกกว่า 10,000 ราย
สำหรับช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา นางสาวสกุณากล่าวว่า มียอดขายที่เติบโต 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีที่แล้ว และมั่นใจว่าถึงสิ้นปีนี้จะสามารถทำยอดขายรวมได้ประมาณ 1,500 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทฯยังไม่มีแผนปรับราคาอาหาร แม้ว่าต้นทุนการดำเนินงานจะสูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบอาหารที่แพงขึ้นรวมทั้งปัจจัยเงินเฟ้อด้วย แต่จะแก้ไขด้วยการจัดการองค์กรให้มีประสิทธิภาพ และทำโปรโมชั่นเพื่อดึงลูกค้าเข้าใช้บริการมากขึ้น จากปัจจุบันมีลูกค้าเข้าใช้บริการรวม 500,000 -600,000 คนต่อเดือน
"ปัญหาที่น่ากลัวตอนนี้คือ การแข่งขันในธุรกิจอาหารที่มีความรุนแรง ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนบุคคลากรโดยเฉพาะพนักงานบริการในร้าน เพราะผู้ประกอบการหลายรายเดิมก็ขยายสาขามาก อีกทั้งมีรายใหม่ๆเข้ามาสู่ธุรกิจอาหารมากขึ้นด้วย ส่วนเรื่องค่าแรง ที่รัฐบาลมีนโยบายปรับอัตราจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นนั้น ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจแต่อย่างใด เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีการจ้างพนักงานในอัตราที่สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว แต่มีความกังวลเรื่องการแข่งขันในธุรกิจอาหารที่มีความรุนแรง และธุรกิจยังคงมีอัตราเติบโตได้ต่อเนื่อง มีร้านอาหารแบรนด์ใหม่ๆ เปิดให้บริการเพิ่ม รวมทั้งผู้ประกอบการรายเดิมที่ยังต้องขยายสาขาเพิ่มเติม ทำให้มีการแย่งตัวพนักงานบริการในร้าน จนเกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานขึ้น
นางสาวสกุณา บ่ายเจริญ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮอท พอท จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทฯได้ปรับแผนการลงทุนใหม่โดยจะเพิ่มงบลงทุนเป็น 250 ล้านบาท แบ่งเป็นงบตลาด 100 ล้านบาท และงบ 150 ล้านบาท เปิดสาขาร้านอาหารในเครือทุกแบรนด์รวมกันเป็น 20 สาขา จากเดิมที่วางงบประมาณไว้ 110 ล้านบาท เปิดเพียง 12-15 สาขาเท่านั้นหรือเพิ่มอีก 40 ล้านบาท โดยลงทุนเฉลี่ย 6-7 ล้านบาทต่อสาขา
แต่จะเน้นไปที่รูปแบบร้านฮอท พอท บุฟเฟต์ แวลู และ ฮอท พอท อินเตอร์ บุฟเฟต์ โดย 4 เดือนแรกปีนี้เปิดสาขาใหม่ไปแล้ว 4 สาขา และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีสาขาทุกแบรนด์รวมกันประมาณ 100 สาขา จากปัจจุบันที่มีเปิดบริการแล้ว 83 สาขา จาก 5 แบรนด์รวมกันคือ ฮอท พอท บุฟเฟต์ แวลู 58 แห่ง , ฮอท พอท อินเตอร์ บุฟเฟต์ 21 แห่ง ,ฮอท พอท สุกี้ ชาบู 2 แห่ง , ฮอท พอท ราเมน บุฟเฟต์ และ เพรสทีจ บาย ฮอทพอท อย่างละ 1 สาขา
สาเหตุที่มีขยายการลงทุนมากขึ้นเนื่องจากว่า ในปีนี้มีผู้ประกอบการเปิดศูนย์การค้าสมัยใหม่ทั้งคอมมูนิตี้มอล์ ดิสเคานต์สโตร์ และศูนย์การค้าเป็นจำนวนมาก และบริษัทฯก็ได้รับการเสนอพื้นที่เข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสที่จะลงทุน ประกอบกับ ยอดขายรวมเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมาทำได้ประมาณ 1,100 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตมากถึง 30% ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงสุดในรอบ 3 ปี จากปีก่อนหน้าที่มียอดขายรวมเพียง 860 ล้านบาทเท่านั้น
"การที่ยอดขายรวมเราเติบโตมากขนาดนี้ เป็นผลมาจากการที่เราเริ่มปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ใหม่เมื่อช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ด้วยการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาและการทำตลาด การทำโปรโมชั่น ส่งผลให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น และมีสาขาเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้นเช่นกัน จากเดิมก่อนหน้านี้ไม่มีการสร้างแบรนด์ไม่มีหนังโฆษณาแต่อย่างใด ดังนั้นปีนี้จึงมีแผนที่จะสร้างแบรนด์ต่อเนื่อง ด้วยงบการตลาดที่วางไว้ 100 ล้านบาท ซึ่งประมาณ 80% จะนำมาใช้กับหนังโฆษณาชุดใหม่ เพื่อตอกย้ำแบรนด์ ส่วนงบที่เหลือ 20% จะใช้ในการทำตลาดโปรโมชันต่างๆ"
ขณะเดียวกันยังได้ปรับเงื่อนไขเกี่ยวกับบัตรสมาชิกใหม่ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกและสามารถใช้ได้กับร้านอาหารทุกแบรนด์ในเครือตั้งแต่ช่วงต้นปีนี้ จากเดิมที่จะใช้ได้เฉพาะร้านฮอท พอท อินเตอร์ บุฟเฟต์ เท่านั้น ปัจจุบันบริษัทฯมีจำนวนสมาชิกกว่า 10,000 ราย
สำหรับช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา นางสาวสกุณากล่าวว่า มียอดขายที่เติบโต 20% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีที่แล้ว และมั่นใจว่าถึงสิ้นปีนี้จะสามารถทำยอดขายรวมได้ประมาณ 1,500 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทฯยังไม่มีแผนปรับราคาอาหาร แม้ว่าต้นทุนการดำเนินงานจะสูงขึ้นจากราคาวัตถุดิบอาหารที่แพงขึ้นรวมทั้งปัจจัยเงินเฟ้อด้วย แต่จะแก้ไขด้วยการจัดการองค์กรให้มีประสิทธิภาพ และทำโปรโมชั่นเพื่อดึงลูกค้าเข้าใช้บริการมากขึ้น จากปัจจุบันมีลูกค้าเข้าใช้บริการรวม 500,000 -600,000 คนต่อเดือน
"ปัญหาที่น่ากลัวตอนนี้คือ การแข่งขันในธุรกิจอาหารที่มีความรุนแรง ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนบุคคลากรโดยเฉพาะพนักงานบริการในร้าน เพราะผู้ประกอบการหลายรายเดิมก็ขยายสาขามาก อีกทั้งมีรายใหม่ๆเข้ามาสู่ธุรกิจอาหารมากขึ้นด้วย ส่วนเรื่องค่าแรง ที่รัฐบาลมีนโยบายปรับอัตราจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นนั้น ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจแต่อย่างใด เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีการจ้างพนักงานในอัตราที่สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว แต่มีความกังวลเรื่องการแข่งขันในธุรกิจอาหารที่มีความรุนแรง และธุรกิจยังคงมีอัตราเติบโตได้ต่อเนื่อง มีร้านอาหารแบรนด์ใหม่ๆ เปิดให้บริการเพิ่ม รวมทั้งผู้ประกอบการรายเดิมที่ยังต้องขยายสาขาเพิ่มเติม ทำให้มีการแย่งตัวพนักงานบริการในร้าน จนเกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานขึ้น
