กระทรวงพลังงาน ชง กพช.20 เม.ย.ขอมติชัดเจนตรึงราคาดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรต่อหรือไม่ เหตุเงินกองทุนน้ำมันฯ เทหมดหน้าตักแล้ว หากพ้น เม.ย.ยังอยากตรึงต่อ ต้องหาเงินมาโปะเพิ่ม เสนอทางเลือก ถ้าไม่ลดภาษีสรรพสามิต ก็ต้องกู้เงินโปะกองทุนฯ และขยับเพดานอุ้มดีเซล
นายบุญส่ง เกิดกลาง ผู้ตรวจราชการกระทรวง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานวันที่ 20 เม.ย.นี้ กระทรวงพลังงานจะรายงานถึงสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะดูแลการตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตามนโยบายรัฐบาลจนถึง เม.ย.ซึ่งหลังจากนั้นคงจะต้องขอนโยบายจากรัฐบาลว่าจะยังคงตรึงราคาดีเซลต่อ หรือจะทยอยปรับราคาขึ้นหรือจะให้อิงตลาดโลกทันที
ทั้งนี้ เนื่องจากสถานะกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุด อยู่ที่ 15,624 ล้านบาท ยังไม่รวมกับภาระหนี้ในอนาคต ขณะที่กองทุนฯ มีหนี้ที่ยังไม่ได้เบิกจ่าย แต่จะต้องจ่ายตามนโยบายที่ กพช.อนุมัติไว้ วงเงินสูงถึง 14,361 ล้านบาท กรณีที่หากราคาน้ำมันดีเซลไม่ปรับลดเงินกองทุนน้ำมันฯ จะยังไหลออกประมาณ 307 ล้านบาทต่อวัน หรือ 9,000 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเงินจะหมดลงหรือติดลบในช่วงสิ้น เม.ย.
ดังนั้น หากรัฐบาลเลือกตรึงดีเซลต่อ กระทรวงพลังงานคงจะเสนอทางเลือกในการบริหารเงินกองทุนน้ำมันฯ 3 ทางเลือก คือ 1.การลดภาษีสรรพสามิต 2.การกู้เงินมาตรึงดีเซลต่อ และ 3.ขยับเพดานตรึงราคาดีเซลขึ้นจากไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร เพื่อลดภาระกองทุนฯ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า แนวทางแรกนั้น คงจะยาก เนื่องจากการลดภาษีจะกระทบต่อการจัดเก็บรายได้รัฐ และหากลดแล้วจะเรียกเก็บคืนเป็นเรื่องยาก
“การกู้เงินในอดีตเคยทำ โดยให้ทางสำนักบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) ดำเนินการกู้กับสถาบันการเงิน ซึ่งจะต้องมีการนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งจะทำให้ประชาชนจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มด้วย หากรัฐบาลจะดูแลราคาสินค้าก็คงจะเป็นวิธีนี้ แต่ส่วนตัวแล้ว การทยอยขึ้นสะท้อนต้นทุนคิดว่าทุกส่วนน่าจะรับได้และจะได้มีการปรับตัวรองรับ เพราะเชื่อว่าราคาสินค้าเองก็ไม่ได้ว่าจะตรึงราคาได้ตลอดไป” นายบุญส่ง กล่าว
สำหรับการเสนอแผน จะมีการประเมินราคาน้ำมันดิบดูไบ ซึ่งขณะนี้เฉลี่ยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2554 อยู่ที่ประมาณ 108 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สูงกว่าราคาเฉลี่ยทั้งปี 2554 อยู่ที่ 80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดย สนพ.ประเมินเบื้องต้น ปีนี้น้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ถือว่าค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันตลาดโลกมีการอ่อนตัวลง และหาก 1-2 วันยังลดต่อเนื่อง อาจมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อปรับลดการชดเชยดีเซลลงจากขณะนี้ชดเชยที่ 5.10 บาทต่อลิตร
นายชวลิต พิชาลัย รอง ผอ.สนพ.กล่าวว่า การประชุม กพช.จะยังหารือกรณีที่นายกรัฐมนตรีได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการจากพลังแสงอาทิตย์ ว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมกรณีที่กพช.ปรับลดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Adder) จาก 8 บาทต่อหน่วย เหลือ 6.50 บาทต่อหน่วย ซึ่งกระทรวงพลังงานจะชี้แจงให้ที่ประชุมรับทราบถึงภาระ Adder
ในกรณีหากไม่มีการปรับลดลงจะทำให้ต้นทุนค่าเอฟทีในอนาคตเพิ่มขึ้น รวมถึงการเสนอแผนการอนุรักษ์พลังงาน 20 ปี (2011-2030) ที่มีเป้าหมายลดการใช้พลังงานลง 20%
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ เนื่องจากความไม่สงบในตะวันออกกลางยังไม่คลี่คลาย ทำให้เกิดความวิตกกังวลถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ทำให้แนวโน้มราคาน้ำมันยังคงอยู่ระดับสูงต่อไป ล่าสุด ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 110 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 130 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ส่วนกรณีที่ รมว.คลัง เสนอให้รัฐบาลตรึงราคาน้ำมันดีเซลต่อไปจากเดิมที่สิ้นสุดในเดือน เม.ย.เป็นสิ้นเดือน มิ.ย.นั้น กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงคงต้องมีภาระเพิ่มขึ้น ส่วน ปตท.พร้อมดำเนินการตาม และจะปรับราคาน้ำมันตามราคาน้ำมันตามกลไกราคาตลาดโลก โดยขณะนี้ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงกว่าความเป็นจริงถึง 20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล หรือคิดเป็นระดับราคาน้ำมันสำเร็จรูปขายปลีก 4 บาท/ลิตร ซึ่งมาจากความวิตกกังวลกับเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง หากสถานการณ์ดังกล่าวคลี่คลายลง เชื่อว่า ราคาน้ำมันจะอ่อนตัวลงกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ ทาง ปตท.จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงราคาขายปลีกน้ำมัน จากค่าการตลาดน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 1.10 บาท/ลิตร และดีเซลมีค่าการตลาด 1 บาท/ลิตร
นายบุญส่ง เกิดกลาง ผู้ตรวจราชการกระทรวง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานวันที่ 20 เม.ย.นี้ กระทรวงพลังงานจะรายงานถึงสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะดูแลการตรึงราคาดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตามนโยบายรัฐบาลจนถึง เม.ย.ซึ่งหลังจากนั้นคงจะต้องขอนโยบายจากรัฐบาลว่าจะยังคงตรึงราคาดีเซลต่อ หรือจะทยอยปรับราคาขึ้นหรือจะให้อิงตลาดโลกทันที
ทั้งนี้ เนื่องจากสถานะกองทุนน้ำมันฯ ล่าสุด อยู่ที่ 15,624 ล้านบาท ยังไม่รวมกับภาระหนี้ในอนาคต ขณะที่กองทุนฯ มีหนี้ที่ยังไม่ได้เบิกจ่าย แต่จะต้องจ่ายตามนโยบายที่ กพช.อนุมัติไว้ วงเงินสูงถึง 14,361 ล้านบาท กรณีที่หากราคาน้ำมันดีเซลไม่ปรับลดเงินกองทุนน้ำมันฯ จะยังไหลออกประมาณ 307 ล้านบาทต่อวัน หรือ 9,000 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเงินจะหมดลงหรือติดลบในช่วงสิ้น เม.ย.
ดังนั้น หากรัฐบาลเลือกตรึงดีเซลต่อ กระทรวงพลังงานคงจะเสนอทางเลือกในการบริหารเงินกองทุนน้ำมันฯ 3 ทางเลือก คือ 1.การลดภาษีสรรพสามิต 2.การกู้เงินมาตรึงดีเซลต่อ และ 3.ขยับเพดานตรึงราคาดีเซลขึ้นจากไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร เพื่อลดภาระกองทุนฯ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า แนวทางแรกนั้น คงจะยาก เนื่องจากการลดภาษีจะกระทบต่อการจัดเก็บรายได้รัฐ และหากลดแล้วจะเรียกเก็บคืนเป็นเรื่องยาก
“การกู้เงินในอดีตเคยทำ โดยให้ทางสำนักบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) ดำเนินการกู้กับสถาบันการเงิน ซึ่งจะต้องมีการนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งจะทำให้ประชาชนจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มด้วย หากรัฐบาลจะดูแลราคาสินค้าก็คงจะเป็นวิธีนี้ แต่ส่วนตัวแล้ว การทยอยขึ้นสะท้อนต้นทุนคิดว่าทุกส่วนน่าจะรับได้และจะได้มีการปรับตัวรองรับ เพราะเชื่อว่าราคาสินค้าเองก็ไม่ได้ว่าจะตรึงราคาได้ตลอดไป” นายบุญส่ง กล่าว
สำหรับการเสนอแผน จะมีการประเมินราคาน้ำมันดิบดูไบ ซึ่งขณะนี้เฉลี่ยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2554 อยู่ที่ประมาณ 108 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สูงกว่าราคาเฉลี่ยทั้งปี 2554 อยู่ที่ 80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดย สนพ.ประเมินเบื้องต้น ปีนี้น้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ถือว่าค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันตลาดโลกมีการอ่อนตัวลง และหาก 1-2 วันยังลดต่อเนื่อง อาจมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อปรับลดการชดเชยดีเซลลงจากขณะนี้ชดเชยที่ 5.10 บาทต่อลิตร
นายชวลิต พิชาลัย รอง ผอ.สนพ.กล่าวว่า การประชุม กพช.จะยังหารือกรณีที่นายกรัฐมนตรีได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการจากพลังแสงอาทิตย์ ว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมกรณีที่กพช.ปรับลดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Adder) จาก 8 บาทต่อหน่วย เหลือ 6.50 บาทต่อหน่วย ซึ่งกระทรวงพลังงานจะชี้แจงให้ที่ประชุมรับทราบถึงภาระ Adder
ในกรณีหากไม่มีการปรับลดลงจะทำให้ต้นทุนค่าเอฟทีในอนาคตเพิ่มขึ้น รวมถึงการเสนอแผนการอนุรักษ์พลังงาน 20 ปี (2011-2030) ที่มีเป้าหมายลดการใช้พลังงานลง 20%
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ เนื่องจากความไม่สงบในตะวันออกกลางยังไม่คลี่คลาย ทำให้เกิดความวิตกกังวลถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ทำให้แนวโน้มราคาน้ำมันยังคงอยู่ระดับสูงต่อไป ล่าสุด ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 110 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 130 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ส่วนกรณีที่ รมว.คลัง เสนอให้รัฐบาลตรึงราคาน้ำมันดีเซลต่อไปจากเดิมที่สิ้นสุดในเดือน เม.ย.เป็นสิ้นเดือน มิ.ย.นั้น กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงคงต้องมีภาระเพิ่มขึ้น ส่วน ปตท.พร้อมดำเนินการตาม และจะปรับราคาน้ำมันตามราคาน้ำมันตามกลไกราคาตลาดโลก โดยขณะนี้ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงกว่าความเป็นจริงถึง 20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล หรือคิดเป็นระดับราคาน้ำมันสำเร็จรูปขายปลีก 4 บาท/ลิตร ซึ่งมาจากความวิตกกังวลกับเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง หากสถานการณ์ดังกล่าวคลี่คลายลง เชื่อว่า ราคาน้ำมันจะอ่อนตัวลงกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ ทาง ปตท.จะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงราคาขายปลีกน้ำมัน จากค่าการตลาดน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 1.10 บาท/ลิตร และดีเซลมีค่าการตลาด 1 บาท/ลิตร