“คมนาคม” ยันเดินหน้าปากบารา เป็นท่าเรือน้ำลึก เตรียมรวบรวมรายละเอียดเพิ่มพร้อมทำความเข้าใจประชาชนก่อนชง ครม.อีก 5-6 เดือน ยอมรับไม่ทันรัฐบาลชุดนี้ “สุพจน์” เผยแบบพร้อมประมูล ผ่านสิ่งแวดล้อมเรียบร้อย “จักรมณฑ์” ชี้ต้องเร่งตัดสินใจยิ่งช้าประเทศยิ่งเสียประโยชน์ยันภาคใต้ไทยต้องมีท่าเรือด้านสมาคมเรือกรุงเทพฯ ค้าน ชี้ ปริมาณสึนามิน้อยลงทุนไม่คุ้ม ขณะที่หอการค้าสงขลาหนุนยันสินค้ามีพอและเติบโตทุกปี
นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา จ.สตูล ในงานสัมมนา “ท่าเรือน้ำลึกปากบาราเศรษฐกิจไทย ได้หรือเสีย” วานนี้ (22 มี.ค.) ว่า กระทรวงคมนาคม ยืนยันนโยบายในการก่อสร้างท่าเรือปากบาราเป็นท่าเรือน้ำลีก โดยจะรวบรวมข้อมูลรายละเอียดเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้ง โดยขณะนี้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว พร้อมทั้งมีแบบและเอกสารพร้อมสำหรับการประกวดราคารวมถึงได้รับอนุญาตจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้วเช่นกัน โดยไม่สามารถเสนอได้ทันรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากคาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 5-6 เดือน ในการทำรายละเอียดเพิ่มเติมตามที่ ครม.มีมติ ใน 3 เรื่อง ให้ศึกษาแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ เมื่อมีท่าเรือปากบารา ระบบโครงข่ายคมนาคมขนส่งและแผนดำเนินการท่าเรือสงขลา 2
ทั้งนี้ หากโครงการได้รับความเห็นชอบจาก ครม.แล้ว อาจจะต้องมีการประเมินค่าก่อสร้างอีกครั้ง และจะเปิดประกวดราคาแบบนานาชาติ (International Bidding) ส่วนกรณีที่มีการคัดค้านว่าจะทำให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมนั้น กระทรวงคมนาคม ยืนยันว่า พื้นที่ท่าเรือจะอยู่ในทะเลทั้งหมด 4,700 ไร่ และไม่มีพื้นที่หลังท่าสำหรับทำอุตสาหกรรมใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งระหว่างนี้ กรมเจ้าท่า (จท.) จะเร่งลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนที่ยังได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม การก่อสร้่างเป็นท่าเรือน้ำลึกจะเกิดประโยชน์สูงสุด เช่น สามารถลดต้นทุนการขนส่งได้ประมาณ60,000ล้านบาทต่อปี จากการส่งออกที่ปากบาราแทนปีนัง และสิงคโปร์ และลดเวลาในการขนส่งไปอเมริกาและยุโรป และยังเป็นจุดรองรับสินค้าจากจีนตอนล่างที่มาโดยรถไฟ ซึ่งจีนจะลงทุนมาถึงสิงคโปร์
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) กล่าวว่า พื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยจำเป็นต้องมีท่าเทียบเรือน้ำลึกเป็นแลนด์บริดจ์ เพื่อเชื่อมระหว่างฝั่งอันดามันกับอ่าวไทย ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพและเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ ส่วนกรณีที่มีการคัดค้านของคนในพื้นที่ด้านสิ่งแวดล้อมนั้น เห็นว่าทุกโครงการมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งต้องนำมาเปรียบเทียบกันและตัดสินใจเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมในระยะยาว ในขณะเดียวกันประเด็นที่เป็นผลกระทบก็ต้องหาแนวทางลดความสูญเสีย โดยเห็นว่าหากตัดสินใจดำเนินโครงการล่าช้ามากเท่าไรก็ยิ่งทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสมากเท่านั้น
นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิริ อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า ตามแผนท่าเรือสงขลาจะมีพื้นที่หลังท่าสำหรับอุตสาหรรมต่างๆประมาณ 2,300 ไร่ ดังนั้น จะมีระบบคมนาคมขนส่งสามารถเชื่อมการใช้ประโยชน์ของทั้งท่าเรือสงขลา2และปากบาราได้ และไม่มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมแน่นอน นอกจากนี้ จะต้องมีการปรับแผนดำเนินการออกไปอีก 1 ปี เนื่องจากต้องรอการทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่และการเสนอ ครม.อีกครั้ง
นายสุวัฒน์ อัศวทองกุล นายกสมาคมเจ้าของและตัวแทนเรือกรุงเทพฯ กล่าวว่า ในฐานะผู้ประกอบการไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้่างท่าเรือปากบารา เนื่องจากภาคใต้ตอนล่างมีสินค้าส่งออกจำนวนจำกัดประมาณ 1.5 แสนทีอียู เท่านั้น เช่น ยางพาราและอาหารทะเล และส่งออกทางท่าเรือสงขลา1ประมาณ 7 หมื่นทีอียู ที่เหลือส่งออกทางท่าเรือปีนัง ส่วนภาคใต้ตอนบนมีสินค้า 7-8 หมื่นทีอียูต่อปี ใช้ท่าเรือแหลมฉบัง โดยขนส่งทางรถไฟ และเรือชายฝั่ง โดยเห็นว่าภาครัฐควรเร่งรัดการก่อสร้างท่าเรือสงขลา 2 เพื่อดึงสินค้าที่ส่งออกทางท่าเรือปีนังมาใช้ เพราะมีความสะดวกกว่า
นายสุรชัย จิตภักดีบดินทร์ ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา กล่าวว่า สนับสนุนท่าเรือปากบาราเต็มที่ เพราะข้อเท็จจริงขณะนี้ปริมาณสินค้าผ่านทางด่านสะเดาสูงถึง 5 แสนทีอียู และปี 2555 จะเพิ่มเป็น 8 แสนทีอียู ทำให้ขณะนี้มีปัญหาจรจาอย่างมากโดยการเดินทางจากหาดใหญ่ถึงสะเดาระยะทาง 60 กิโลเมตร จากที่ใช้เวลา 45 นาที เป็น 1.30 ชั่วโมงแล้ว ดังนั้น การมีท่าเรือในประเทศจึงจำเป็นและลดปัญหาได้มาก
นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงโครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา จ.สตูล ในงานสัมมนา “ท่าเรือน้ำลึกปากบาราเศรษฐกิจไทย ได้หรือเสีย” วานนี้ (22 มี.ค.) ว่า กระทรวงคมนาคม ยืนยันนโยบายในการก่อสร้างท่าเรือปากบาราเป็นท่าเรือน้ำลีก โดยจะรวบรวมข้อมูลรายละเอียดเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้ง โดยขณะนี้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว พร้อมทั้งมีแบบและเอกสารพร้อมสำหรับการประกวดราคารวมถึงได้รับอนุญาตจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้วเช่นกัน โดยไม่สามารถเสนอได้ทันรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากคาดว่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 5-6 เดือน ในการทำรายละเอียดเพิ่มเติมตามที่ ครม.มีมติ ใน 3 เรื่อง ให้ศึกษาแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ เมื่อมีท่าเรือปากบารา ระบบโครงข่ายคมนาคมขนส่งและแผนดำเนินการท่าเรือสงขลา 2
ทั้งนี้ หากโครงการได้รับความเห็นชอบจาก ครม.แล้ว อาจจะต้องมีการประเมินค่าก่อสร้างอีกครั้ง และจะเปิดประกวดราคาแบบนานาชาติ (International Bidding) ส่วนกรณีที่มีการคัดค้านว่าจะทำให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมนั้น กระทรวงคมนาคม ยืนยันว่า พื้นที่ท่าเรือจะอยู่ในทะเลทั้งหมด 4,700 ไร่ และไม่มีพื้นที่หลังท่าสำหรับทำอุตสาหกรรมใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งระหว่างนี้ กรมเจ้าท่า (จท.) จะเร่งลงพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนที่ยังได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม การก่อสร้่างเป็นท่าเรือน้ำลึกจะเกิดประโยชน์สูงสุด เช่น สามารถลดต้นทุนการขนส่งได้ประมาณ60,000ล้านบาทต่อปี จากการส่งออกที่ปากบาราแทนปีนัง และสิงคโปร์ และลดเวลาในการขนส่งไปอเมริกาและยุโรป และยังเป็นจุดรองรับสินค้าจากจีนตอนล่างที่มาโดยรถไฟ ซึ่งจีนจะลงทุนมาถึงสิงคโปร์
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) กล่าวว่า พื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยจำเป็นต้องมีท่าเทียบเรือน้ำลึกเป็นแลนด์บริดจ์ เพื่อเชื่อมระหว่างฝั่งอันดามันกับอ่าวไทย ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพและเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ ส่วนกรณีที่มีการคัดค้านของคนในพื้นที่ด้านสิ่งแวดล้อมนั้น เห็นว่าทุกโครงการมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งต้องนำมาเปรียบเทียบกันและตัดสินใจเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมในระยะยาว ในขณะเดียวกันประเด็นที่เป็นผลกระทบก็ต้องหาแนวทางลดความสูญเสีย โดยเห็นว่าหากตัดสินใจดำเนินโครงการล่าช้ามากเท่าไรก็ยิ่งทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสมากเท่านั้น
นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิริ อธิบดีกรมเจ้าท่า กล่าวว่า ตามแผนท่าเรือสงขลาจะมีพื้นที่หลังท่าสำหรับอุตสาหรรมต่างๆประมาณ 2,300 ไร่ ดังนั้น จะมีระบบคมนาคมขนส่งสามารถเชื่อมการใช้ประโยชน์ของทั้งท่าเรือสงขลา2และปากบาราได้ และไม่มีผลกระทบสิ่งแวดล้อมแน่นอน นอกจากนี้ จะต้องมีการปรับแผนดำเนินการออกไปอีก 1 ปี เนื่องจากต้องรอการทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่และการเสนอ ครม.อีกครั้ง
นายสุวัฒน์ อัศวทองกุล นายกสมาคมเจ้าของและตัวแทนเรือกรุงเทพฯ กล่าวว่า ในฐานะผู้ประกอบการไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้่างท่าเรือปากบารา เนื่องจากภาคใต้ตอนล่างมีสินค้าส่งออกจำนวนจำกัดประมาณ 1.5 แสนทีอียู เท่านั้น เช่น ยางพาราและอาหารทะเล และส่งออกทางท่าเรือสงขลา1ประมาณ 7 หมื่นทีอียู ที่เหลือส่งออกทางท่าเรือปีนัง ส่วนภาคใต้ตอนบนมีสินค้า 7-8 หมื่นทีอียูต่อปี ใช้ท่าเรือแหลมฉบัง โดยขนส่งทางรถไฟ และเรือชายฝั่ง โดยเห็นว่าภาครัฐควรเร่งรัดการก่อสร้างท่าเรือสงขลา 2 เพื่อดึงสินค้าที่ส่งออกทางท่าเรือปีนังมาใช้ เพราะมีความสะดวกกว่า
นายสุรชัย จิตภักดีบดินทร์ ประธานหอการค้าจังหวัดสงขลา กล่าวว่า สนับสนุนท่าเรือปากบาราเต็มที่ เพราะข้อเท็จจริงขณะนี้ปริมาณสินค้าผ่านทางด่านสะเดาสูงถึง 5 แสนทีอียู และปี 2555 จะเพิ่มเป็น 8 แสนทีอียู ทำให้ขณะนี้มีปัญหาจรจาอย่างมากโดยการเดินทางจากหาดใหญ่ถึงสะเดาระยะทาง 60 กิโลเมตร จากที่ใช้เวลา 45 นาที เป็น 1.30 ชั่วโมงแล้ว ดังนั้น การมีท่าเรือในประเทศจึงจำเป็นและลดปัญหาได้มาก